รู้จักกับ พี่ป๊อด Pod Thanachai Ujjin เวอร์ชั่นเบาสบายที่สุดผ่าน Balloon Boy โปรเจกต์อัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก ที่จะเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เข้าใจและพร้อมโอบกอดเราในทุกช่วงเวลาของชีวิต
: ถ้าต้องแนะนำ Balloon Boy ให้ทุกคนรู้จักในฐานะเพื่อนสนิทของพี่ป๊อด จะแนะนำยังไงบ้าง
พี่ป๊อด – สำหรับเรา Balloon Boy เค้าเป็นวัยรุ่นที่เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ใจเปิดกว้าง ชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ ชอบการเรียนรู้ รักอิสระและรักเสียงเพลง เป็นคนใจโล่งๆ โปร่งเบาเหมือนกับลูกโป่ง ความรู้สึกของเรามองว่าเค้าเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันแบบสบายๆ เป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็ให้พื้นที่ และมีความอิสระต่อกัน
: เล่าเกี่ยวกับ Balloon Boy โปรเจกต์เดี่ยวของพี่ป๊อดให้ฟังหน่อย คอนเซปต์หรือที่มาที่ไป
พี่ป๊อด – โปรเจกต์นี้เป็น Side project ของผม มันเริ่มต้นมาจากการที่เราอยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ในฐานะคนทำเพลง ผมเลยทำออกมาเป็นงานแบบมินิมอลที่ใช้แล็บท็อบตัวเดียวในการสร้างเพลง
และผมก็เลือกที่จะสร้างอวตารตัวหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวแทนในการถ่ายทอด แทนตัวเราที่ต้องการจะพูดอะไรก็ตามที่ไร้ข้อจำกัด โดยที่ผมไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบผลงานของตัวเองที่ผ่านมา ให้มันเป็นอิสระอย่างที่เราอยากจะพูด อย่างเช่น การย้อนไปถึงช่วงสมัยเด็กหรือวัยเรียนอะไรแบบนี้ฮะ Balloon Boy ก็เลยเป็นตัวแทนที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านี้
: กว่า Balloon Boy จะกลายเป็นหนุ่มอารมณ์ดีตัวสีฟ้า เขาเคยมีหน้าตายังไงบ้างในความคิดพี่ป๊อด
พี่ป๊อด – จริง ๆ ตัวของ Balloon Boy มาจากการที่ผมกลับไปเข้าคลาสเรียนทำเพลงด้วยโปรแกรม Ableton ซึ่งเป็นการทดลองทำงานด้วยตัวเอง จากแต่ก่อนที่จะทำเพลงร่วมกันกับเพื่อน ๆ ในวง แล้วพอมาทำเอง เราเลยพยายามมองหาว่าเราจะทำออกมาในรูปแบบของอะไร
ผมก็นึกถึงลูกโป่งขึ้นมาเพราะมันตรงกับความรู้สึกโล่งๆ โปร่งเบา และลอยตัว ซึ่งมันก็ตรงกับสภาวะของการทำเพลงโปรเจกต์นี้ ด้านดนตรีและกระบวนการที่เราทำ
ลูกโป่ง สามารถเข้ามาตอบโจทย์สิ่งนี้ได้ เราก็เลยครีเอทมันออกมาเป็นคาแรคเตอร์ของ Balloon Boy ส่วนสีฟ้าเพราะผมนึกถึงท้องฟ้านี่แหละฮะ ลูกโป่งมันคือการล่องลอยไปบนท้องฟ้ามันเลยตรงกับใจเรามากที่สุด
: เนื้อเพลงส่วนใหญ่ของพี่ป๊อด พูดถึงการปล่อยวางไม่ก็ให้กำลังใจ มันคือประเด็นหลักที่อยากสื่อสารผ่าน Balloon Boy รึยัง
พี่ป๊อด – ผมคิดว่าในช่วงวัยนี้ของผมมันจะมีความรู้สึกเหล่านี้อยู่ในตัว ทั้งเรื่องของการทำความเข้าใจ การปล่อยวาง การย้อนอดีตนึกถึงความหลัง การมองโลกเชิงบวก และการให้กำลังใจให้ความหวังต่อกัน ผมเลยคิดว่ามันตอบโจทย์แล้ว
และใน Balloon Boy ก็จะมีสุนัขเป็นเพื่อนคู่ใจชื่อ Lucky ก็แปลว่าโชคดี ก็เหมือนกับเวลาที่เราทำอะไรแล้วมีโชค เรารู้สึกว่าเหมือนเรามีโชคอยู่กับตัว ส่วนตัวละครเพื่อน ๆ ต่าง ๆ ก็มีทุกเพศทุกวัยเลยตั้งแต่เด็กนักเรียน ผู้ใหญ่ พ่อค้า แม่ค้า หรือพนักงานออฟฟิศ เรารู้สึกถึงความเป็นเพื่อน มีความหลากหลาย ไม่แบ่งแยกครับ
ทุกวันนี้สำหรับตัวผมเองก็มีเพื่อนหลากหลายรุ่น ผมมีทั้งเพื่อนรุ่นวัยเดียวกัน เพื่อนรุ่นน้อง หรือแม้แต่กระทั่งเป็นเพื่อนกับลูกของเพื่อน (หัวเราะ) อัลบั้มนี้มันแปลกและแตกต่างจากเพลงที่ผมเคยทำมา
คนฟังเพลงจะตั้งแต่แม่ของผมเองที่ชอบเปิดอัลบั้มนี้ฟังมาทุกวันจนเกือบจะครบสองปีแล้ว หรือว่าลูก ๆ หลาน ๆ น้อง ๆ และที่มันเชื่อมโยงกับพวกเขาได้เพราะมันค่อนข้างเบา สบาย ทุกคนเลยรู้สึกว่ามันฟังได้เพลินๆ
: พี่ป๊อดในสมัยก่อน กับพี่ป๊อดในตอนนี้แตกต่างกันมากแค่ไหน แล้วมันสะท้อนออกมาผ่าน Balloon Boy ยังไงบ้าง
พี่ป๊อด – จะว่าไปในการทำอัลบั้มทุกๆชุด มันเป็นการสะท้อนสภาวะภายในของตัวเราเลย ตั้งแต่ชุดแรกสมัยเพลงบุษบา น้ำหนัก เนื้อหา อารมณ์ของเพลงมันจะสะท้อนแต่ละช่วงวัยของเรา ซึ่งตัวเราเองก็สนใจที่จะมองตัวเองผ่านการสร้างผลงานเพราะงานที่ออกมาก็ทำให้เราเห็นเลยว่าเราเป็นแบบไหนอยู่
Balloon Boy ทำให้เห็นเลยว่าเรามีความเบาขึ้นกว่าแต่ก่อน ค่อนข้างปล่อยวางได้มากขึ้น แต่ถ้าย้อนกลับไปดูผลงานเก่าๆ เราก็ชอบผลงานตัวเองในตอนนั้นเหมือนกันในแง่ของความเข้มข้น ของกระบวนการเรียนรู้ตัวเอง ที่เรามีความมุ่งมั่น ไขว่คว้าที่จะพิชิตอะไรบางอย่าง มันเป็นไปตามเส้นทางชีวิต
ซึ่งเราก็มองว่าถ้ายังทำเพลงต่อไปจนถึงช่วงอายุ 60-70 ปี ในตอนนั้นมันก็อาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็สนใจที่จะมองว่าผมจะสะท้อนตัวเองออกมาผ่านงานในรูปแบบไหน
: อัลบั้มนี้มีซาวด์ที่แตกต่างจากงานเก่า ๆ ของพี่ป๊อดไปเลย ทำไมถึงเลือกที่จะสื่อสารด้วยดนตรีสไตล์นี้
พี่ป๊อด – อัลบั้มนี้มันเหมือนเป็นงานคอลลาจนะ เพราะมันเป็นการเอา Source มา Layer กัน ซึ่งผมก็เลือกที่จะทำให้มันมินิมอลที่สุด บางเพลงก็ใช้แค่ 3 แทรคแค่นั้น ซึ่งมันก็เป็นทางดนตรีที่เราเลือกว่ามันเหมาะกับสภาวะของเรา มันพอดีกับน้ำหนักของใจเรา มันก็เลยได้ดนตรีแบบนี้ออกมา ซึ่งเราก็สนุกกับการได้ลองทำเพลงกับแล็บท็อปหนึ่งตัว ประกอบร่างขึ้นมาเป็นเพลงเองและจบมันด้วยตัวเราเอง
ซึ่งทั้งหมดก็ได้อาจารย์นับ ซึ่งเป็นครูที่ผมไปเข้าคลาสเรียนด้วย มาช่วยกันทำให้มันเสร็จสมบูรณ์ ตอนนั้นคือปี 2020 เป็นช่วงที่สถานการณ์โควิดยังรุนแรงอยู่ ผมออกไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด เราก็เลยใช้วิธีทำเพลงและมิกซ์เสียงกันผ่าน Zoom มีผู้ช่วยผมอีกคนคือน้าจิมมาร่วมวงสร้างสรรค์ด้วย เป็นการสุมหัวรวมตัวกันสามคน โดยต่างคนก็อยู่ที่บ้านตัวเอง Work from home
สำหรับวิธีการเขียนเพลงก็ปล่อยให้ดนตรีมันเป็นตัวพาเมโลดี้ออกมา แล้วเราก็คอยฟังว่าเพลงนี้มันอยากจะร้องคำว่าอะไร พอมีคำผุดออกมา เราจะหยิบจับคำนั้นๆมาเขียนต่อ (หัวเราะ) เหมือนเราจะคอยดูว่า เมื่อฟังทำนองเพลงนี้แล้ว จะมีคำไหนโผล่ขึ้นมาในหัว หรือใช้วิธีตื่นเช้าออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง ปล่อยให้สมองเราโล่ง ปล่อยให้ร่างกายทำงานของมันไป แล้วเมื่อมีคำอะไรวิ่งเข้ามาในหัว เราก็พยายามคว้าสิ่งที่แวบเข้ามาให้ทัน เพื่อเอาไปใส่ในเนื้อเพลง มันเป็นการใช้เวลาชีวิตของเรา ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 เป็นต้นมา
: พอทำเพลงเองแล้วพี่ป๊อดคิดว่ามันท้าทายแค่ไหน
พี่ป๊อด – เราคิดว่ากระบวนการทำเพลงมันเป็นศาสตร์ที่กว้างและมีความเฉพาะตัวมาก ทั้งเรื่องตำแหน่งของแต่ละส่วนในการทำ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนทำนอง เขียนเนื้อเพลง บันทึกเสียง หรือว่ามิกซ์ดนตรี
พอเราเข้าไปร่วมกับทุกกระบวนการแล้วมันทำให้เราเกิดการเรียนรู้เยอะมาก มันได้เห็นความสำคัญของแต่ละตำแหน่งที่ทำเพลงว่าแต่ละคน กว่าที่จะร่วมทำเพลงกันออกมาได้ เขาจะต้องศึกษาและใช้ทักษะมากขนาดไหน เหมือนเราได้เข้าไปเจาะ ได้ไปเห็นทุกกระบวนการถึงขนาดที่ว่าจะไปปั๊มซีดีกันที่ไหน จะไปผลิตแผ่นเสียงที่โรงงานไหน จะไปพิมพ์ปกที่ไหน โปรเจกต์นี้ทำให้เราได้เข้าไปเล่นกับทุกกระบวนการ มันสนุกที่เราได้เรียนรู้กับทุกภาคส่วนในการทำเพลงด้วยตัวเองแล้วมันทำให้เราเข้าใจทุกๆฝ่ายมากขึ้น
: พี่ป๊อดเคยบอกว่าทำศิลปะเพื่อเยียวยาตัวเอง การทำ Balloon Boy ช่วยเยียวยาพี่ป๊อดยังไงบ้าง
พี่ป๊อด – ทั้งดนตรีและศิลปะเป็นงานที่เยียวยาเราทั้งคู่เลย คืออันหนึ่งผ่านทางสายตา อีกอันหนึ่งก็ผ่านทางหู แล้วโดยธรรมชาติของตัวเราเอง ก็สนใจในทั้ง 2 สื่อ (สื่อเสียงและสื่อภาพ) เราก็มีทั้งคู่มาเยียวยาเรา
อย่างศิลปะก็ช่วยบาลานซ์ตัวเราในเวลาที่เรามีจมอยู่กับงานดนตรีอย่างเดียวจนไม่ได้พัก พอเราได้ถอยออกมาทำงานศิลปะรูปแบบอื่นมันก็ช่วยให้เราหลุดออกมาจากด้านที่วนเวียนซ้ำอยู่ มันเลยทำให้เรารู้สึกเหมือนเจออากาศใหม่ พอทุกครั้งที่เรากลับมาทำงานศิลปะมันก็ส่งผลให้ไอเดียเพลงมันโผล่ขึ้นมาด้วย สำหรับผมทั้งคู่มันช่วยเยียวยาและบาลานซ์เรามาตั้งแต่เด็กๆเลยครับ
: ถ้าต้องเลือก 3 เพลงในอัลบั้มเพื่อเยียวยาคนรอบตัวในช่วงนี้ จะเลือกเพลงอะไรบ้าง เพราะอะไร
พี่ป๊อด – ขอเลือกเพลงแรก ปล่อยเขาไป เวลาที่อะไรมันไม่เป็นไปตามใจเรา อยากให้ลองปล่อยมันไป แล้วหันไปมองโลกด้านอื่นบ้าง ซึ่งยังมีอีกหลายด้าน ไม่ได้มีเพียงด้านเราที่เราเจ็บช้ำ ถ้าลองมองดู เราอาจจะเจออะไรดีๆก็ได้
ต่อมาเพลง กอดคอ การที่เราเจอปัญหาชีวิตในแต่ละวัน อย่างน้อยถ้าเรายังมีใครสักคน เช่นเพื่อน หรือคนในครอบครัวที่พร้อมจะกอดคอไปด้วยกัน เราก็จะผ่านอะไรที่เลวร้ายไปได้
เพลงสุดท้าย ขอมอบเพลง ฟ้าคะนองกระจายครับ ต่อให้เจอฝนฟ้ากระหน่ำ เจอพายุซัดยังไงก็ตาม ฉันก็จะทำต่อไป ต่อให้ใครจะไม่มอง จนกว่าฉันจะก้าวข้ามทะลุกำแพงไปให้ได้ เป็นเพลงให้กำลังใจถึงทุกคนที่กำลังมุ่งมั่นฝ่าฟัน
: นอกจากเพลงที่พี่ป๊อดแนะนำใน Balloon Boy แล้วมีเพลงไหนที่เยียวยาพี่ป๊อดในช่วงนี้
พี่ป๊อด – เพลงกอดครับ เราเพิ่งไปถ่าย Live session กันมาด้วย แล้วก็รู้สึกชอบเป็นพิเศษ เพราะมันออกมาเข้าถึงใจเรา อาจจะด้วยเสียงและภาพ เราก็เลยเปิดดูบ่อยสุดในช่วงนี้
เบื้องหลังเพลงนี้เราได้แรงบันดาลใจมาจากพิธีรดน้ำศพของคุณพ่อ หลังจากที่ทำดนตรีเสร็จ เราก็มีความรู้สึกหนึ่งที่มันโผล่ขึ้นมา ซึ่งเป็นความรู้สึกของการอยากจะได้กอดกันอีกสักครั้ง เลยทำให้เราได้เนื้อเพลงนี้ออกมา
ความหมายที่เราอยากสื่อให้ทุกคน เราไม่ได้เจาะจงเลยว่าเป็นการกอดใคร มันจะเป็นสิ่งไหนก็ได้เลยฮะ เราจะนึกถึงใครสักคนที่เรารู้สึกอยู่เป็นส่วนตัวก็ได้เลย ซึ่งสำหรับผมเองมันก็เยียวยาเราในเรื่องของความทรงจำ หลังจากบทสัมภาษณ์นี้เราก็จะปล่อยออกมาให้ฟังกัน อยากให้รอติดตามกันนะฮะ
: คุยกับฝั่งพี่นับบ้าง จุดเริ่มต้นพี่นับมาร่วมงานกับพี่ป๊อดได้อย่างไร
พี่นับ – จุดเริ่มต้นของโปรเจคนี้ คือย้อนไปเมื่อสามปีที่แล้วพี่ป๊อด ได้ให้โอกาส ผมในการสอนวิธีการผลิตงานเพลงด้วยคอมพิวเตอร์ครับ คราวนี้ในตอนที่เรียนกัน ผมก็กำลังสอนวิธีการขึ้นโครงสร้างเพลง แล้วพี่ป๊อดชอบบีทที่กำลังเรียนกันในคลาส แกเลยมีไอเดียและเขียนเพลงสดๆ และอัดกันเดี๋ยวนั้น
โดยใช้เวลาแต่งเนื้อเพียง 15นาที เท่านั้น จนกลายเป็นเพลง “ไปโรงเรียน” เพลงแรกในอัลบัม ครับ โดยรวมเพลงนี้ใช้เวลาผลิตกันครึ่งชั่วโมงเท่านั้นครับ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เรียนแล้วครับ (หัวเราะ) ทำกันแต่เพลง จนโปรเจคมันเกิดขึ้นโดยวิถีของมันเองครับ โดยทุกไอเดียและมุมมองจะเริ่มต้นจากพี่ป๊อดทั้งหมดครับ
: ความรู้สึกแรกที่ได้ร่วมงานกับพี่ป๊อดเป็นยังไงบ้าง
พี่นับ – ตื่นเต้นทุกวินาทีจนถึงตอนนี้ครับ เพราะเอาตรง ๆ ชาตินี้ไม่คิดว่า จะได้มีโอกาสมาร่วมงานกับฮีโร่ทางดนตรีของเรา ย้อนไปตั้งแต่เราเริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ก็เล่นแต่เพลงโมเดิร์นด็อก ร้องไห้ เสียใจ ดีใจ เหงาใจ ก็มีแต่เพลงพี่ป๊อดที่เป็นยาใจให้ตัวผม
และวันนี้ได้มาร่วมงานกับพี่ป๊อด ผมคงไม่สามารถจะบรรยายถึงความตื่นเต้นทุกวินาที ได้อย่างชัดเจนครับ ที่ได้ทำงานร่วมกับฮีโร่ของผมครับ
: พี่นับแลกเปลี่ยนอะไรกันบ้างกับพี่ป๊อดในการเริ่มต้น Balloon Boy อาจจะเป็นในเรื่องของแนวคิดและดนตรี
พี่นับ – คงต้องบอกว่า ผมได้ความรู้และมุมมองเยอะมาก ๆ จากพี่ป๊อดครับ ได้รู้ว่าความเรียบง่ายที่สุด อาจเป็นความลงตัวที่สุด ความไม่สมบูรณ์กลับเป็นความที่สมบูรณ์ที่สุด
คือต้องบอกก่อนว่า คอนเซ็ปต์ของเพลงบอลลูนบอย แก่นของมันจริงๆ สำหรับผมนะครับ ตอนที่ทำงานกับพี่ป๊อดคือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้สามารถนำเสียงที่อยู่ในหัวของพี่ป๊อด ถ่ายทอดออกมาได้แบบ 100% ที่สุด เพราะฉะนั้นมันจะไม่มีกรอบของเวลา
เราใช้เวลากับทุกเพลงแบบเต็มที่ และครั้งที่เราได้ทำเพลงร่วมกัน มันก็เหมือนผมได้ซึมซับตัวตน ความรู้สึกของพี่เขาเข้ามา และอินไปกับมัน เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และสิ่งที่พี่ป๊อดต้องการจะถ่ายทอด ได้ออกมาอย่างธรรมชาติที่สุดครับ
: พอในช่วงกระบวนการทำอัลบั้มนี้พี่นับได้ทำงานร่วมกับพี่ป๊อดพาร์ทไหนบ้าง
พี่นับ – พี่ป๊อดจะมาพร้อมชิ้นส่วนดนตรี หรือเสียงต่าง ๆ ที่แกชอบและเลือกออกมาครับ ผมมีหน้าที่เอาชิ้นส่วนพวกนั้น มาประกอบร่าง ตั้งแต่เรียบเรียง ดีไซน์ บันทึก และมิกซ์จนออกมาเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์ครับ โดยพี่ป๊อด จะนั่งทำด้วยกันทุกขั้นตอนครับ
พี่ป๊อดให้อิสระในการทำอย่างเต็มที่ แต่สำหรับผมทั้งหมดต้องอยู่บนพื้นฐานความต้องการของพี่เขาเป็นหลักครับ และด้วยเทคโนโลยี เราเลยสามารถนั่งทำงานด้วยกันแบบละเอียดทุกขั้นตอน ผ่านทาง Zoom Aplication ครับ
โดยทั้ง นั่งทำ นั่งฟัง นั่งมิกส์กันสด ๆ โดยที่ตัวพี่ป๊อดจะอยู่ที่เขาใหญ่ ผมอยู่กรุงเทพ และจะมีพี่จิมผู้จัดการพี่ป๊อดด้วย เราสามคนจะนั่งทำงานด้วยกันตลอดผ่านหน้าจอครับ และอาจจะวนมาเจอกันบ้าง ตอนอัดเสียงครับ โดยบางเพลง พี่ป๊อดจะอัดร้องส่งมาให้จากเขาใหญ่เลยก็มีครับ
: ทำไมถึงเลือก HIjacker มาสนุกด้วยกัน
พี่ป๊อด – จริง ๆ แล้วน้องหัวหน้าวงคือ มิ้งฟา ชื่อน่ารักดีชื่อแปลกดี (หัวเราะ) ซึ่ง มิ้งฟา เป็นคุณครูผู้ช่วยที่โรงเรียนที่ผมไปเรียนด้วย เวลาที่ผมงงๆกับการใช้โปรแกรมทำเพลง มิ้งฟาก็จะมาช่วยแนะนำ ช่วยสอนวิธีการต่าง ๆ
ซึ่งทำให้เราได้คอนเนคกับมิ้งฟาในการสร้างผลงานชิ้นนี้ แล้วตัวมิ้งฟาเองก็มีอัลบั้ม ก็เลยเลือกให้มาร่วมโชว์กับเราในครั้งนี้ จริงๆตัว Balloon Boy เองก็คือวงน้องใหม่นะครับ และ HIjacker เองก็เป็นวงน้องใหม่ในวงการเหมือนกัน เลยรู้สึกเหมือนโตไปด้วยกันครับ
: พี่ป๊อดจะเตรียมโชว์พิเศษอะไรไว้ใน BUD LIVEHOUSE SPECIAL บ้าง แอบสปอยล์หน่อย
พี่ป๊อด – นอกจากเพลงที่ทุกคนรู้จัก และได้ฟังในอัลบั้มแล้วก็จะมีเพลงเซอร์ไพร์สอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นเพลงที่มีความเกี่ยวพันกับตัวของพี่ป๊อดที่นอกเหนือจาก Balloon Boy ด้วย ก็จะเลือกสรรมาโชว์ในงานนี้ด้วยครับ
: คนฟังจะมีโอกาสได้ฟังเพลงของ Modern Dog ด้วยมั้ย
พี่ป๊อด – อาจจะยังไม่สปอยล์นะครับ ซึ่งทางน้องๆทีมงาน BUD LIVEHOUSE SPECIAL ตั้งชื่องานนี้ว่า “ พี่ป๊อด “ เนี่ย เราก็คงจะเลือกนำเสนอหลายๆด้านที่เป็นพี่ป๊อดครับ (หัวเราะ)
: ฝากอะไรถึงคนที่ซื้อบัตรเรียบร้อยแล้วหน่อย
พี่ป๊อด – สำหรับทุกคนที่กดบัตรเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวมาสนุกกันอย่างแน่นอนครับ ผมก็จะตั้งใจและเตรียมสิ่งที่ดีที่ในวันงานอย่างเต็มที่ ขอให้มาด้วยใจที่เปิดโล่ง อิสระ เหมือนบอลลูนแล้วมาเจอกับ Balloon Boy ฮะ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
(2) Lido Connect – ลิโด้แนะนำ รู้จักกับ พี่ป๊อด Pod Thanachai Ujjin… | Facebook