เปิดอีกมุมของวายร้ายผ่าน 8 เพลงในอัลบั้มใหม่ Supervillain ของ Varis

เปิดอีกมุมของวายร้ายผ่าน 8 เพลงในอัลบั้มใหม่ Supervillain ของ Varis กับการยอมรับตัวตนอีกด้าน เมื่อชีวิตไม่ได้ Perfect
 
เหมือนหลุดเข้าไปยืนอยู่หน้าปราสาทท่านเคานต์ที่มีฟ้าผ่าลงมาท่ามกลางคืนที่มืดมิด คือความรู้สึกแรกที่ได้ฟังอินโทร ก่อนที่ดนตรีทั้งอัลบั้มจะดึงเราเข้าไปสำรวจชีวิตของวายร้ายที่ถึงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ยังมีด้านที่ต้องการความรักไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป 🫂
 
Supervillain เป็นอัลบั้มที่ความเป็น Varis ยังคงแข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น ไหนจะการเล่าเรื่องและแรงบันดาลใจที่มีความน่าสนใจมาก จนอยากให้ทุกคนได้ลองฟังและอ่านที่มาของแต่ละแทรคไปพร้อม ๆ กันดู

22

วิน วริศบอกกับเราว่าตั้งใจยกระดับเพลงของ Varis ให้มีความเป็น Cinematic ที่พอทุกคนได้ฟังแล้วจะเห็นภาพเป็นหนังมากขึ้น เพลงในอัลบั้มนี้ก็เช่นกัน ซึ่งวินตั้งใจเซ็ตบรรยากาศตั้งแต่ Intro ว่าเป็นเรื่องราวของวายร้ายที่เริ่มต้นขึ้นในคืนหนึ่งเมื่อเวลา 22 (22:00 น.) และไปบรรจบที่ V (05:00 น.) ความน่าสนใจคือเราจะได้ทำความรู้จักวายร้ายคนนี้มากขึ้นผ่านทุกเพลงที่แทนทุกชั่วโมงในคืนหนึ่งคืนผ่านอัลบั้มใหม่นี้กัน

“แทรคที่1 เป็น Interlude ที่เราตั้งใจจะเซ็ตบรรยากาศของทั้งอัลบั้มเลยว่าอยากให้มันเป็นยังไง อัลบั้มนี้จะเป็นการเล่าเรื่องแบบใช้คืนหนึ่งคืน 22 คือสี่ทุ่ม นอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของค่ำคืนนี้ ยังเป็นช่วงอายุที่เราเริ่มเขียนอัลบั้มนี้ แล้วมันจะไปจบที่ V ก็คือ 5 ซึ่งจะใช้เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง คือทุก ๆ เพลงมันจะแทนทุกชั่วโมงของคืนหนึ่งคืน มันเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เอาไปโปรโมทเท่าไหร่ แต่มันคือความตั้งใจในการเล่าเรื่องของเรา ชั่วโมงทุกชั่วโมงจะเป็นเพลงหนึ่งเพลง”

“22 อย่างที่บอกคือสี่ทุ่ม เหมือนวายร้ายนี้มันเริ่มจะออกมาละ เราเริ่มที่จะรู้สึกเข้าสู่ด้านมืดของเราละในเวลากลางคืน ก็เลยเป็นทำดนตรีสร้างบรรยากาศ ให้มันมีความรู้สึกของความแฟรงเกนสไตน์นิดนึง เหมือนฟ้าผ่า ปีศาจกำลังจะมา ตั้งใจสร้างความรู้สึกนั้นกับแทรคแรกเลยออกมาเป็นดนตรีแบบนั้น”

down down down

“แทรคที่สองจะเป็นการพูดครั้งแรกของตัวละครในอัลบั้มนี้ พี่ที่มหาลัยคนนึงเคยพูดกับผมว่า ประโยคแรกกับประโยคสุดท้ายของอัลบั้มสำคัญที่สุด ผมเลยคิดเรื่องนี้มาก ๆ เลย ซึ่งประโยคแรกของอัลบั้มนี้อยู่ในเพลงนี้แหละ ก็คือ I’d like to open up about

มันคือสิ่งที่กำหนดเลยว่าอัลบั้มนี้เรามาเพื่อเปิดใจ ตีแผ่ทุกอย่างให้คนฟังรู้เรื่องว่าเราเป็นคนยังไง
down down down เป็นสิ่งที่เซ็ตโทนทุกอย่างของอัลบั้มนี้เลยว่าเราจะพูดอะไร จุดประสงค์คืออะไร

มันเลยเริ่มจากจุดที่เรียกว่าหม่นที่สุดของอัลบั้ม ดาร์กที่สุด ดาวน์ที่สุด เป็นตัวละครที่หลงทางมาก ๆ ความรู้สึกที่เราไม่รู้และก็ค่อนข้างปิดกั้นตัวเองด้วย อันนี้คือ Stand Point ของเพลง Down Down Down

ชื่อแรกของเพลงนี้คือ You wouldn’t like when i’m down เพราะตั้งใจจะให้เพลงนี้แบบโคตรเนกาทีฟเลย แบบแกไม่ชอบเราหรอก เวลาเราเป็นแบบนี้ มันคือการปิดกั้นตัวเองมาก ๆ แต่ว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่เรารู้สึกว่า ยังไงเราก็ต้องเล่า ที่จะพูดถึงคนคนนี้ในแบบที่เป็นมนุษย์ที่สุด ทำให้ลีดไปสู่แทรคต่อมา”

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Run

“ผมพูดแบบไม่เว่อเลย สิ่งที่เกิดขึ้นจริงทุกวันที่เดดไลน์ของอัลบั้มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เหมือนเราได้ยินเสียงในหัวเรา เป็นเสียงเคาะ เหมือนเคาะเตือนว่า จะทำเพลงไม่ทันแล้วนะเว้ย เป็นความรู้สึกงั้นเลยอยู่ในหัวตลอดทั้งวัน ทุกวัน ในตอนที่เรารู้สึกเหนื่อย หรือว่างเกิน เราจะมีเสียงนั้นในหัวตลอด เหมือนคอยเตือน ว่าทำอะไรอยู่ เป็นเสียงที่โกรธ และไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่

แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่มันจะต้องมาจริง ๆ แล้วแหละ ผมเลยทำกลองของเพลงนี้ด้วยจังหวะเหมือนการวิ่ง เป็นการเคาะเตือนสติเรา

เนื้อหาของเพลง Run คือเรื่องเดียวกับที่ผมรู้สึกว่าจะทำอัลบั้มไม่ทันเลย เหมือนเราแบบหนีความจริง หนีความรับผิดชอบ หนีปัญหาไม่ได้นะ เราจะเป็นคนแบบนี้ไม่ได้ เพลงนี้เลยเหมือนเป็นเพลงเตือนสติ เนื้อหาจะพูดกับเราว่าเราทำอะไรอยู่ เรียกสติ

ประโยคสุดท้ายของเพลงนี้คือ You can’t run away from your problem แต่ว่าสุดท้ารู้ว่ายังไงก็หนีปัญหาไม่พ้นหรอก ผมเลยเลือกที่จะตอบประโยคนั้นด้วยซาวด์กีต้าแบบวง muse ดนตรีจะโยก ๆ กระโดด ๆ ซิ่ง ๆ ไปเลยเป็นพาร์ทที่รู้สึกว่าดุที่สุดในอัลบั้มกับเพลง Run”

Open Up

“เนื้อหาเพลงนี้คือหลังจากที่เราโกรธมาก ๆ จริง ๆ แล้วเราอ่อนแอ จะโชว์ด้านที่อ่อนแอ รู้สึกว่าเราต้องการความรัก ความสนใจ ความใส่ใจ และเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ คนนึงที่ก็ต้องการสิ่งเหล่านี้ที่มนุษย์ต้องการ เราต้องการ open up ให้ใครสักคนรักเรา รู้จักเรา เข้าใจเรา แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ insecure เหลือเกินที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

เพลงนี้ยากที่สุดในอัลบั้ม เพราะไม่มีเทมโป้ ไม่ได้อัดในโปรแกรมอยู่ในห้อง ทุกอย่างมันคือการอัดแบบไม่ตรงเทมโป้ เครื่องทุกเครื่องเหมือนเล่นสดตาม เพราะเราต้องการความยืดหยุ่นในซาวด์มาก ๆ ความลากยาว ลากสั้น มันมนุษย์มาก ๆ โปรดักชันยากสุด แต่ผลลัพธ์มันคุ้มนะ สำหรับผมเอง มีทรัมเป็ตมาโซโล่ปิดท้ายด้วย ทำให้อารมเพลงนี้สมบูรณ์มาก”

happy (?)

“เพลงนี้มาด้วยฟีลว่า ‘คิดว่าเรามีความสุขจริงเหรอ ?’ ถามกับคนที่เขาคิดว่าเขาทำให้เรามีความสุขอยู่ คิดว่าเราชอบหรือรู้สึกดีกับการกระทำที่มันแย่ ๆ ท็อกซิกของเขา เขาคิดว่าเราแฮปปี้จริงเหรอ

มันเป็นประโยคคำถาม เนื้อเพลงเลยออกมาประมาณว่า อย่าเหลิงให้มันมากนะ บอกคนนั้นว่าเราเจ็บช้ำ เสียใจนะ คิดว่าที่ทำอยู่มันดีมากนักเหรอ ถามย้ำ ๆให้เขารู้สึกว่าแน่ใจเหรอว่าที่เป็นอยู่มันดี

ดนตรีก็ตั้งใจให้มันคอนทราสท์กับเนื้อเพลงสุด ๆ คือผมเป็นคนขี้ประชดประชันคนนึงจริงแล้ว ๆ เพลงนี้เลยโชว์ความขี้ประชดของตัวเองมากที่สุด เราอยากทำดนตรีที่มันเปิดในดิสโก้ได้ ในคลับได้

แต่เนื้อหามันไม่มีความสุขนี่หว่า โคตรดาร์กเลย เราตั้งใจจะทำแบบนั้นกับดนตรีของเพลงนี้ครับ”

Oh No ?!

“เพลงนี้เป็นจุดที่แข็งกล้าที่สุด Aggressive ที่สุดแล้ว เราจะไม่ยอมกับความไม่ถูกต้องแล้ว ถ้าเทียบ OH NO?! เป็นตัวร้ายก็คงใช้อัลติขั้นสุดของตัวเองแล้ว”

เราพยายามโชว์สิ่งนั้นกับดนตรีด้วย เป็นเพลงเร็วที่สุดของ Varis ที่เคยทำมา และก็เป็นเพลงที่กลองรัวมาก ๆ ไม่รู้ว่ามันตีได้จริงเปล่า และก็ไม่สนด้วยว่าตีได้จริงเปล่า 555 ผมแค่อยากให้มันรัวแบบนั้น ก็เลยหนักมือกลองนิดนึง

เนื้อเพลงก็คือเป็นจุดที่เราโกรธที่สุด เลือกจะไม่ยอมกับอะไรที่ก็ตามที่มันท็อกซิกกับชีวิตเรา ความไม่ถูกต้องในชีวิตเราที่คนคนนึงกำลังกดทับเราอยู่”

Don’t Know How

“ถ้า OH NO?! มีความ Aggressive ที่สุด อิโมจิไฟลุกที่สุด Don’t Know How น่าจะเป็นจุดที่เปราะบางที่สุดของอัลบั้มนี้ รองจาก Open Up เพลงนี้จะโชว์ความเปราะบาง ความอ่อนโยนของเรา

เหมือนเรายอมรับได้แล้วว่าเราไม่สามารถรักษาทุกอย่างหรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ของเราไว้ในชีวิตได้ อย่างประโยค I don’t know how not to lose you มันคือคอนเซ็ปต์ที่เราตั้งใจจะเล่า เหมือนเราหมดหนทางแล้วที่จะเก็บสิ่งที่มันไม่ใช่ของเรา คนที่มันไม่ใช่ของเราไว้ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ เราคงต้องปล่อยไป ยอมรับกับความผิดหวังให้ได้

จะเป็นเพลงที่อ่อนโยนสุดในอัลบั้มนี้ พาร์ทดนตรีก็ด้วย
ผมไม่คิดว่าผมจะทำดนตรีแบบนี้ออกมาได้ เวอชั่นเดโม่จะเปนแบบกลองฟาดหนัก ๆ เป็นแบบที่ทุกคนคุ้นเคย กลองหนักเบสหนัก ความกีตาร์เสียงแตก ตอนแรกมันเป็นแบบนั้น

ในบรรดาเดโม่ทั้งหมด เพลงนี้ผมไม่ชอบที่สุดละ ก็เลยถอยออกมาแล้วคิดว่า ต้องลองไม่คิดว่าอะไรเหมาะกับ Varis แต่ต้องคิดว่าอะไรเหมาะกับเพลงนี้ดีกว่า เลยเลือกที่จะไปอีกทาง ทำดนตรีแบบกีตาร์โปร่ง เบามาก ล่องลอยมาก ๆ เป็นสิ่งที่วริศไม่เคยทำมาก่อน และรู้สึกว่ามันตอบโจทย์กับเนื้อหาเพลง และการเล่าเรื่องที่สุด เลยค่อยข้างภูมิใจกับเพลงนี้มาก ๆ ว่าเราได้โชว์ด้านอ่อนโยนของเรากับเพลงนี้บ้าง

V

“เป็นเพลงปิดอัลบั้มที่ผมตั้งใจตั้งแต่แรกว่าอยากให้มันเป็นเพลงปิด ในช่วงเรื่องราวทั้งหมดที่ผมเอามาเขียนอัลบั้มนี้ เพลง V เป็นเพลงที่ผมได้ในวันนึงที่ผมอยู่ทะเลและนอนไม่หลับ ผมก็ลุกขึ้นมาตอนประมาณตีห้าและไปนั่งดูพระอาทิตขึ้น แล้วก็ได้ประโยคขึ้นมาว่า when the sun comes up I’ll be ready to go เหมือนกับว่าเราพอแล้วแหละ อยากปล่อยวาง ตัวเบาลง let go จากความเกลียดความโกรธทุกอย่าง

และเราอยากเป็นคนที่รักตัวเอง รักคนอื่นให้มากขึ้น และโตขึ้นได้แล้ว ประมาณนั้น นั่นคือเนื้อหาของเพลง V ซึ่งมันคือการที่เรายอมรับกับความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความผิดหวังได้แล้ว และเราอยากที่จะโตขึ้น

นั่นคือเนื้อหาที่ผมอยากให้เป็นบทสรุปของอัลบั้มนี้ สุดท้ายถึงจะเจอเรื่องผิดหวัง ร้องไห้ ร้ายแรง เราโกรธได้ เพราะมันคือความเป็นมนุษย์ แต่พอพระอาทิตย์ขึ้น เหมือนโตขึ้น พร้อมรับแสงอาทิตย์แล้วประมาณนั้น

ตอนแรกเพลงนี้ชื่อว่า 5 A.M. จนมือเบสผมบอกว่าเห็นกระดานที่เขียนชื่อเพลงไว้ มันก็แบบไม่ใช่สิวะ เลยเดินไปที่กระดานเอาแแปรงมาลบ และเขียนตัว V แทนเลขห้า ผมก็เอ้ออ ทุกอย่างมันบังเอิญลงล็อกกับ 5 ปีหมดเลย พอเรามองย้อนกลับไปมันรู้สึก Mean to be บางอย่างแหละ กับอัลบั้มนี้ ปีนี้ กับชื่อ V For Varis

Related Posts