Sleep Debt ภาวะติดหนี้การนอน นอนเท่าไหร่ก็ไม่หายง่วงสักที

ใครเป็นบ้าง นอนเท่าไหร่ก็ไม่หายง่วงสักทีที่เป็นแบบนี้เพราะเรากำลัง ‘ติดหนี้การนอน’ อยู่รึเปล่า  Sleep Debt ภาวะติดหนี้การนอนของคนที่นอนหลับไม่เพียงพอ หลายคนเวลาที่รู้ว่าตัวเองนอนไม่พอ แล้วง่วงมากในแต่ละวัน มักจะคิดว่าจะอดทนเก็บไว้นอนทีเดียวในวันหยุดหวังว่าจะช่วยรีเซ็ตตัวเองให้ได้พักผ่อนจริง ๆ และสดชื่นขึ้นมาได้ พอลองทำจริงแล้วจะนอนยาว ๆ ล้างแค้นที่นอนไม่พอกลับนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท สุดท้ายก็วนกลับมาที่รู้สึกว่านอนไม่พออยู่ดี นี่แหละแสดงว่าเรากำลังติดหนี้การนอนอยู่ ร่างกายของเราแต่ละคนจะมีเวลานอนที่ต้องการแตกต่างกัน ทั้งจากอายุและสุขภาพ สมมติว่าเราต้องการเวลานอน 8 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าเรานอนได้เพียง 6 ชั่วโมงก็แสดงว่าเราติดหนี้นอน 2 ชั่วโมงแล้วถ้าเราเป็นแบบนี้กี่วันก็คูณเข้าไป อย่าง 5 วันก็เท่ากับเราติดหนี้นอน 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ภาวะนี้มีความน่ากลัวอยู่ตรงที่บางคนไม่รู้ตัวด้วยว่าตัวเองกำลังติดหนี้นอนอยู่ เพราะไม่ได้รู้สึกเพลีย เหนื่อย หรือง่วงเป็นพิเศษ เนื่องจากร่างกายเราสามารถปรับตัวได้ส่วนหนึ่ง แต่ยิ่งใครที่ติดหนี้นอนไว้ ก็เหมือนคนติดหนี้ที่รอล้มละลาย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพสุดท้ายอาจป่วยหนักได้ ผลกระทบจากการติดหนี้นอนเริ่มมักเริ่มจากอาการเพลียง่าย เหนื่อย เบลอบ้าง ซึ่งส่งผลให้เรามีประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน และขับรถที่แย่ลง เมื่อเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันเราจะลดลง มีความผิดปกติของน้ำหนักซึ่งเป็นผลมาจากระบบเผาผลาญ ในระยะยาวจะนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเบาหวาน รวมถึงระบบความจำและการทำงานของสมองด้วย วิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราหายจากการติดหนี้การนอนได้ มีดังนี้1) […]

งานวิจัยชี้เด็กรุ่นใหม่ให้เวลาแต่กับตัวเองและสนใจความรักกับเซ็กส์น้อยลง

งานวิจัยชี้เด็กรุ่นใหม่ให้เวลาแต่กับตัวเองและสนใจความรักกับเซ็กส์น้อยลง การสร้างตัวให้มีความมั่นทางสถานะการเงินและค้นหาตัวเองให้เจอ กลายเป็นเรื่องหลักที่เด็กรุ่นใหม่มุ่งมั่นกับมันมากกว่าการมีความรัก จากงานวิจัยที่ศึกษาทั้ง Gen Z และมิลเลนเนียลโดยเปรียบเทียบกับ Gen X ควบคู่ไปด้วย พบว่ามีเพียง 1 ใน 10 ของ เด็กรุ่นใหม่เท่านั้นที่สนใจความสัมพันธ์ระยะยาวและชีวิตคู่ ประเด็นสำคัญที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจความโรแมนซ์และเซ็กส์เป็นเรื่องหลักแล้ว แต่ความสัมพันธ์ที่เด็กรุ่นใหม่สนใจกลับเป็นความสัมพันธ์เชิงมิตรภาพและคอนเนคชั่นที่ต่างฝ่ายสามารถซัพพอร์ตความต้องการและผลประโยชน์ของอีกฝ่ายได้ เหตุผลหลักเพราะว่าเด็กรุ่นใหม่มองว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนต่อความสำเร็จและความสุขในชีวิตเท่ากับการพัฒนาทักษะตัวเอง ทำงานในองค์กรคุณภาพ และหาเงินเยอะ ๆ นอกจากนี้ยังมองว่าการมีความสัมพันธ์เท่ากับการต้องมีภาระความรับผิดชอบในการดูแลใครสักคน ซึ่งคนรุ่นใหม่อยากที่จะดูแลตัวเองและสร้างเนื้อสร้างตัวให้ตัวเองมั่นคงก่อนจนกว่าจะมากพอที่จะเป็นอิสระทางการเงินและมั่นใจว่าสามารถดูแล ใช้เวลาชีวิตร่วมกับใครจนแต่งงานได้ ส่งผลให้คนรุ่นใหม่มีการใช้เวลานานขึ้นในทำตัวเองให้มั่นคงและยืดอายุในการมองหาใครสักคนเพื่อแต่งงานออกไปช้าลง นอกจากนี้สถานการณ์โรคที่เกิดขึ้นกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่คนรุ่นใหม่กังวลใจว่ามันเสี่ยงกับฐานะการเงิน จึงในการตัดสินใจอยากที่จะสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองก่อนที่ใช้เงินและเวลาชีวิตไปกับการมีความรักและความสัมพันธ์นั่นเอง ซึ่งปัจจัยนี้ก็มีรายงานศึกษาจาก Vice รองรับด้วย ผลออกมาว่า 45% ของ Gen Z ที่ตอบแบบสอบถามกว่า 75% ปัจจุบันเป็นโสดและไม่ออกเดทในช่วงที่เกิดสถานการณ์โรค โดยเด็กรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งให้เหตุผลว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะทำความรู้จักตัวเองมากกว่า รวมถึงเพิ่มสกิลต่าง ๆ ด้วย เช่น สมัครคอร์สออนไลน์ ค้นหาความชอบตัวเอง ฝึกภาษา เทรดหุ้น หารายได้เสริมหรือหางานอดิเรกทำ ส่วนเรื่องการเติมเต็มไม่ว่าจะทางเพศหรือความเหงา คนรุ่นใหม่ก็เลือกที่จะใช้ช่องทางออนไลน์และ Dating apps เพื่อหาเพื่อนหรือใครสักคนไว้ ซึ่งหาได้ง่ายและเข้าถึงได้ไว […]

ถึงเวลามองเป็น “เรื่องธรรมดา” กับการแต่งหน้าที่ใครก็แต่งได้

ยุคนี้ไม่มีใครสนกันแล้ว ใครก็แต่งหน้าได้ การแต่งหน้าไม่ใช่แค่ของเพศไหนอีกต่อไปแต่มันคือการแสดงตัวตนต่างหาก ที่ผ่านมาเรามองการแต่งหน้าว่าเป็นกิจกรรมของผู้หญิงเท่านั้น โดยที่หลายคนไม่รู้เลยว่าจริง ๆ ประวัติศาสตร์การแต่งหน้านั้นเกี่ยวข้องกับผู้ชายด้วย เล่าย้อนกลับไปสักนิด มีการค้นพบหลักฐานสำคัญเมื่อ ปี 2010 ครั้งหนึ่งนานมากแล้วเมื่อ 50,000 ปีก่อนคริสตศักราช พบว่า เครื่องสำอางเกิดขึ้นและเป็นที่รู้จัก คนที่อยู่ในถ้ำก็คยใช้รองพื้นและบรัช ด้วยความเชื่อว่าเครื่องสำอางค์คือส่วนเติมเต็มความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งทำให้ผู้ชายแต่งหน้ากันมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์กันก่อนแล้ว และในหนังสือ Pretty Boys: Legendary Icons Who Redefined Beauty และ How to Glow Up, Too หนังสือศึกษาวัฒนธรรมความงามในยุคต่าง ๆ ก็ได้พูดถึงว่าการแต่งหน้าของผู้ชายอดีตนั้นเกิดภายใต้แนวคิดเพื่อระบุตัวตนตัวเอง แสดงออกถึงการดูแลตัวเอง ทรงพลังและขยายอำนาจของผู้ชาย ซึ่งมีการใช้เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และความงามมาตลอด ข้อมูลนี้ก็สะท้อนให้เราเห็นว่าจริง ๆ เครื่องสำอางค์ การแต่งหน้า ความสวยงามนั้นไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่เฉพาะในผู้หญิงแม้แต่ในอดีต ทีนี้พอมาถึงตอนนี้การแต่งหน้า ยิ่งควรจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็แต่งได้และจะแต่งมาก แต่งน้อยแค่ไหนก็แต่งได้ โดยไม่มีเพศมาผูกโยง ยิ่งตลาดเครื่องสำอางค์สำหรับทุกเพศก็กำลังเติบโต หลายแบรนด์หันมาออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์สำหรับผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็น Chanel, Tom […]

ทำไมเราหิวทุกครั้งเวลาเห็นโดนัท 🍩

ทำไมเราหิวทุกครั้งเวลาเห็นโดนัท  เรื่องนี้สามารถอธิบายได้จากงานวิจัย Supra-Additive Effects of Combining Fat and Carbohydrate on Food Reward ในมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ที่ได้ทำการศึกษาการทำงานของสมองของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครด้วยการให้ดูภาพอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ได้แก่ ลูกอม ชีส และโดนัท แล้วทำการแข่งกันประมูลว่าต้องการกินอะไรเป็นอาหารว่าง ผลปรากฎว่าโดนัทเป็นอาหารที่กลุ่มอาสาสมัครทดลองพร้อมจ่ายและสู้ราคาประมูลมากที่สุด ซึ่งเมื่อเทียบกับอาหารอื่น ๆ ที่มีเพียงคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล หรือไขมันอย่างเดียว โดนัทมีทั้ง 3 อย่างในปริมาณที่สูง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าทั้งคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่สูงจะกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมสมองของเรา โดยมันทำการกระตุ้นปมประสาทฐานสมอง (Striatum) ให้ส่งสัญญาณประสาทกระตุ้นความหิวพร้อมกับทำให้สมองของเราหลั่งสารโดปามีน ซึ่งเป็นสารความสุขออกมา นอกจากนี้การแต่งหน้าของโดนัทที่หลากหลายรสชาติและสีสัน ยิ่งทำให้เวลากินโดนัทเรายิ่งรู้สึกดี มีความสุขมาก ๆ เหมือนได้รับรางวัล แล้วก็ยังมีข้อมูลอธิบายเพิ่มว่า เพราะว่าเรามีวิวัฒนาการในการเป็นนักล่าและหาอาหารมาก่อนซึ่งส่วนใหญ่มันคือพืชและเนื้อสัตว์ การเจออาหารที่มีทั้งคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูงที่ เป็นเรื่องใหม่ของเรา เป็นระบบใหม่ที่ล่อเราได้ง่ายมาก ๆ ไม่แปลกที่เราจะต้านทานความหิวจากทุกครั้งเวลาที่เห็นโดนัทไม่ไหว หรือต่อให้ตัดใจไม่กินได้ เราก็มักจะหิวและจบลงด้วยการหาซื้อของกินหรือขนมที่มีทั้งแป้ง น้ำตาลและไขมันสูงอยู่ดี

TIKTOK เครื่องมือสำคัญ ที่กำลังพลิกอุตสาหกรรมดนตรีโลก

ใครกำลังมีเพลงจาก TikTok ติดอยู่ในหัวเอาออกไม่ได้บ้าง คิดว่ามันกำลังเปลี่ยนการฟังเพลงของเรามั้ย และเปลี่ยนวงการดนตรีในแง่ไหน การตลาด TikTok ใหญ่มากและกำลังกลายเป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่มีอิทธิพลเปลี่ยนวงการอุตสาหกรรมดนตรีโลก เกือบ 5 ปีแล้วที่ติ๊กต็อกเติบโต มีผู้ใช้งานมากถึง 1 พันล้านคนทั่วโลกและยังคงได้รับความนิยม มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากแอปฯ ลิปซิงค์ กลายเป็นพื้นที่ของครีเอเตอร์ และสามารถช่วยทำให้ศิลปินและค่ายเพลงเติบโตได้ แนวโน้มของการหันมาสร้างผลงานที่สามารถเข้ากับแพลตฟอร์ม เพลงหลายเพลงถูกออกแบบทำนองดนตรีและเนื้อร้องให้ติดหู ท่าเต้นให้เต้นตามได้จนได้ความนิยมในติ๊กต็อก เพลงเป็นที่รู้จัก แล้วใช้เป็นช่องทางโปรโมทเพลงส่งเสริมการขายไปยังสตรีมมิ่งอื่น ในแง่ของฝั่งผลิต จากรายงานในปี 2020 ที่ผ่านมาค่ายเพลงใหญ่ ๆ อย่าง Interscope, Republic Records, Columbia และบริษัทในเครือก็มองช่องทางนี้ว่าเป็นอีกจุดที่น่าจับและได้เซ็นสัญญากับศิลปินใหม่ ๆ ที่กำลังมาแรงในติ๊กต็อก หรือแม้แต่ค่าย Sony Music เองที่มีคลังเพลงเยอะมากก็สนใจที่จะใช้ติ๊กต็อกเป็นช่องทางโปรโมตเพลงเก่า ๆ ของตัวเองให้กลับมาทำรายได้อีกครั้ง ส่วนศิลปินเองก็ได้ทั้งรายได้ ผู้ติดตามที่เพิ่มมากขึ้น และช่องทางในการผลิตผลงานจากความท้าทายที่ต้องผลิตผลงานที่ดึงดูดความสนใจชาวติ๊กต็อก ในขณะที่ในแง่ของคนฟัง การทำงานของอัลกอลิทึมติ๊กต็อกก็เสิร์ฟตามที่เราชอบและสนใจอยู่แล้ว แล้วมากกว่านั้นก็คือการนำเสนอเพลงใหม่ ๆ เพลงที่คนยังไม่รู้จัก หรือเป็นเพลงที่มียอดสตรีมมิ่งน้อย ต่อให้มากจากการอัปโหลดเพลงต้นฉบับของศิลปินก็สามารถถูกแชร์ให้ไปไกลกว่าเดิมได้ ซึ่งกว่า 67% จากผู้ใช้ทั้งหมดในติ๊กต็อกมีการค้นหาเพลงต่อในสตรีมมิ่งหลังเจอเพลงที่ใหม่ที่ชอบจากติ๊กต็อก และกว่าอีก 75% ก็ได้รู้จักศิลปินใหม่ […]

Boomer และ Gen Z คือเจนที่สนใจสิ่งแวดล้อมที่สุด

ไม่น่าเชื่อว่า Boomer และ Gen Z คือเจนที่สนใจสิ่งแวดล้อมที่สุดถึง 2 เจนนี้จะต่างกันมาก 👦🏻🧓🏻 หลังจากข่าวน้ำมันรั่ว นี่เป็นครั้งที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์บ้านเรารอบ 45 ปี เราได้เห็นความเคลื่อนไหวที่หลายคนหันมาสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศ แล้วเราก็ตั้งคำถามว่าการ Call out และใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ทำอยู่เพียงรุ่นเดียวจริงหรอ เพราะที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินมาตลอดว่าคนรุ่นใหม่ต้องเจอกับปัญหาสภาพอากาศที่คนรุ่นก่อนสร้างไว้ โดยที่คนรุ่นเก่าถูกมองว่ามีการเคลื่อนไหวสนใจสิ่งแวดล้อมว่าน้อยกว่าคนรุ่นใหม่ อย่างมิลเลนเนียลและ Gen Z แต่เราก็ได้เจอข้อมูลที่น่าสนใจว่าจริง ๆ แล้วเบบี้บูมก็รักโลกไม่ต่างกับเด็กเจนใหม่เลย แม้ทั้ง 2 จะมีทัศนคติและรูปแบบวิถีชีวิตที่ต่างกันสิ้นเชิง แต่ผลการศึกษาจากสถาบันนโยบายในวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอน (King’s College London) ประเทศอังกฤษที่ทำการศึกษาคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมากกว่า 4,000 คนในอังกฤษและอเมริกาเกี่ยวกับมุมมองสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมในการรักษาสิ่งแวดล้อม ผลที่ออกมาก็ทำให้เราคิดว่าการมองว่าคนรุ่นก่อนไม่สนใจสิ่งแวดล้อมเท่าคนรุ่นใหม่อาจเป็นที่เรากำลังเข้าใจกันผิด ผลปรากฎคนยุคเบบี้บูมเมอร์ (ช่วงอายุ 56-76 ปี) 3 ใน 4 คนสนใจสิ่งแวดล้อมและมองว่าปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นเรื่องใหญ่ มองเป็นสัดส่วนก็สูงถึง74% ส่วน Gen Z 71% ซึ่งกลายเป็นว่าเบบี้บูมเมอร์มากกว่า แล้ว 7 […]

ตู้ความรักอัดกระป๋อง ช่วยคนเหงาให้เจอเนื้อคู่

ไม่ต้องพึ่งแอปฯ ก็ได้ ญี่ปุ่นวางตู้อัตโนมัติเอาความรักอัดกระป๋องขาย โอกาสใหม่ให้คนเหงาได้เจอเนื้อคู่ เราคงคุ้นเคยว่าตามถนน ทางเดินญี่ปุ่นเป็นเรื่องปกติที่จะได้เจอตู้อัตโนมัติขายน้ำดื่มตามในเขตเมือง แต่ล่าสุดมีตู้สีชมพูริมถนนตู้หนึ่งอยู่เขตคามาตะ (Kamata) ในโตเกียวที่ได้รับความสนใจและถูกพูดถึงมากในโซเชียลมีเดียเพราะเป็นตู้หาคู่ โปรเจคตู้นี้ออกแบบโดย MAP หรือ Matching Advisor Press เป็นบริษัทจัดหาคู่ในญี่ปุ่นที่มีบริการแมทช์และให้คำปรึกษากับลูกค้าที่เป็นคนโสด เพื่อเริ่มต้นเดต คบจริงจังกับใครสักคนจนได้แต่งงานกัน ซึ่งตู้นี้ก็มีเป้าหมายเหมือนกัน การทำงานแต่ละกระป๋องในตู้จะมีราคา 3,000 เยน (ประมาณ 870 บาท) ราคาต่างจากตู้น้ำดื่มทั่วไปที่มีราคาแค่ประมาณ 50 เยน (ประมาณ 15 บาท) โดยข้างนอกกระป๋องจะแบ่งออกเป็น 2 สีเพื่อแทนเพศ คือ สีชมพู (ผู้หญิง) และสีครีม (ผู้ชาย) มีลายดอกไม้ต่าง ๆ แพทเทิร์นตัวหนังสือเป็นแบบเดียวกันเขียนข้อความระบุเพศและอายุ ส่วนข้างในจะมีรูปของคนนั้น ด้านหลังเป็นชื่อและเบอร์โทรศัพท์ แต่ไม่ได้หมายความว่าพอได้เบอร์แล้วจะได้โทรคุยกันแล้วนัดเดตได้เลย การติดต่อครั้งแรกจะเป็นโควต้าที่พูดคุยได้ 1 ชั่วโมงแล้วก็อาจจะเป็นการคุยกับเจ้าตัวโดยตรงเองเลย หรือคุยที่ปรึกษาของ MAP หรือคุยกันทั้ง 3 ฝ่ายมี MAP เป็นตัวกลางคุยด้วย […]

หมดไฟ ไม่รู้จะโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหนดี

ฉันไม่ได้อยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ แค่ใช้ชีวิตแต่ละวันให้ผ่านไปได้ก็ดีมากแล้ว หลังเรียนจบหลายคนคาดหวังว่ามันจะเป็นช่วงเวลาของโอกาสที่ตัวเองได้มีความสุขมากที่สุด อิสระ และใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้ได้อย่างเต็มที่มากกับงานและฐานะการเงินที่มั่นคงระดับหนึ่ง แต่พอถึงตอนนี้กลายเป็นว่าตัวเองกำลังเจอกับความเครียด กังวล เหนื่อย กดดันตัวเองจนหมดไฟ ไม่มีแรงจูงใจและเป้าหมายกับอาชีพที่ทำถึงขั้นรู้สึกว่าแค่ใช้ชีวิตแต่ละวันให้รอดก็ดีแค่ไหน นี่เป็นปรากฏการณ์วิกฤต Quarter-Life Crisis ที่เกิดขึ้นได้กับเราในช่วงอายุก่อน 30 ปี จากงานศึกษา LinkedIn พบว่ากว่า 75% ของคนอายุช่วง 25-33 ปีที่กำลังก้าวไปเป็นวัยผู้ใหญ่ยอมรับว่าตัวอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ทั้งเรื่องงาน การเงิน และความสัมพันธ์ และมีอัตราความกังวลที่ตัวเองจะหาเงินได้ไม่พอใช้สูงถึง 2 ใน 5 นอกจากนี้ยังรู้สึกกดดันตัวเองมากขึ้นไปอีกที่จะต้องทำตัวเองให้พร้อมแต่งงานและมีลูกในอายุ 30 ปีพอดี ส่วนที่เหลือก็กดดันตัวเองกับเรื่องงานที่อยากโตมากขึ้นและคิดเรื่องการย้ายที่อยู่หรือย้ายประเทศ ซึ่งวิกฤตนี้อยู่กับแต่ละคนเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 ปี ส่งผลกระทบแตกต่างกันแต่ที่แย่ที่สุดคือนำไปสู่ปัญหาในการตัดสินใจ ภาวะหมดหวังและเป็นซึมเศร้า โดยวิกฤตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้แค่เฉพาะจากความคาดหวังของตัวเองเท่านั้น ผลการศึกษายังชี้อีกว่ามีความเกี่ยวข้องกับแรงกดดันทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นผลจากการเลี้ยงดู ความคาดหวังของผู้ปกครอง Boomers และ Gen X ที่ได้รับแรงกดมาอีกทีเกี่ยวกับการประสบความสำเร็จในชีวิต ​รวมไปถึงภาพความสำเร็จจากสื่อโซเชียลมีเดีย และอาจสะท้อนถึงเรื่องการสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีจากรัฐสวัสดิการด้วย ทีนี้พอเราไล่ระดับของ Quarter-Life Crisis ซึ่งก็มี 4 ระยะที่เราต้องทำความเข้าใจ […]

การออกแบบครั้งสุดท้ายของ Virgil Abloh ดีไซน์เนอร์ผู้ก่อตั้ง Off-White

ฉลองตรุษจีนกับคอลเลกชัน Lunar New Year การออกแบบครั้งสุดท้ายของ Virgil Abloh ดีไซน์เนอร์ผู้ก่อตั้ง Off-White สร้างความคิดถึงและเป็นแรงบันดาลใจให้กับวงการออกแบบโลก ในฐานะที่แอบโลเป็นทั้งคนก่อตั้งแบรนด์ Off-White นี้และยังเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ Louis Vuitton ด้วย แอบโลเป็น 1 ใน 100 ที่นิตยสารไทม์ให้เป็นคนทรงอิทธิพลที่สุดมาแล้วเมื่อปี 2018 กลายเป็นดีไซน์เนอร์ที่มีผลงานการออกแบบที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะที่ในวงการดีไซน์โลกไปตลอดกาล ด้วยโลโก้ลูกศรไขว้เป็นกากบาทกับฟอนต์ Helvetica ที่เป็นเอกลักษณ์ กลายเป็นแบรนด์ที่หลายคนยกให้เป็นแบรนด์ลูกรักของตัวเองกับสไตล์การออกแบบที่ดูก็รู้ทันทีว่านี่คือแบรนด์ Off-White แบรนด์ที่ยิ่ง Collaboration กับแบรนด์ไหนก็ยิ่งน่าสนใจ ยิ่งน่าซื้อมาเก็บสะสมไว้ ต้นปีนี้ Off-White เปิดตัวได้น่าสนใจกับคอลเลกชันพิเศษฉลองตรุษจีนปีเสือที่กำลังจะมาถึง ภายใต้แรงบันดาลใจที่แอบโลได้ออกแบบไว้ ผสมผสานระหว่างการพักผ่อนช่วงวันหยุดกับพละกำลังของเสือ รวมกันได้อย่างลงตัว คงคอนเซ็ปต์ดูดี ลักซ์ชัวรี่แบรนด์ บวกกับการใช้งานที่เป็น Unisex ไม่ว่าใครก็ใส่ได้ ชิ้นที่สะดุดตาเรามาก ๆ เป็นกระเป๋ารุ่น Lny Burrow-22 Shoulder Bag ตัวไฮไลท์เลย ที่มีโค้งเว้าวงกลมตามสไตล์รุ่นคลาสสิค แต่สีนี้ถือไม่มีเบื่อแน่เพราะเป็นสีแดงสด เด่นมาก แถมมีกิมมิคเล็ก ๆ ข้างหน้าสลักข้อความไว้ว่า Special Edition […]

ถึงเวลาที่ ‘ทางม้าลาย’ ควรปลอดภัยได้รึยัง?

ถึงเวลาที่ ‘ทางม้าลาย’ ควรปลอดภัยได้รึยัง? จากเหตุการณ์อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์บนทางม้าลายที่ทำให้เกิดการสูญเสียจนทำให้สังคมเรียกร้องการปรับปรุงทางเดินเท้าข้ามถนนในประเทศ พร้อมกับย้ำเตือนจิตสำนึกของคนใช้รถทุกชนิดให้เห็นความสำคัญของทางม้าลายและหยุดรถเพื่อให้คนข้าม เรื่องนี้ยิ่งย้ำว่าบ้านเรายังห่างไกลกับหลายประเทศที่มีความแข็งแรงเรื่องกฎหมายทางข้าม ทั้งที่นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุข้ามทางม้าลายเคสแรกที่เกิดขึ้น เพราะประเทศไทยมีคนที่สูญเสียแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำมาแล้วซ้ำ ๆ ยิ่งจากรายงาน Global Status Report on Road Safety ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2018 ประเทศไทยขึ้นเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิตบนท้องถนนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียที่พบว่าคนเดินเท้าบนถนนมีโอกาสได้รับอุบัติเหตุสูงถึง 1 ใน 3 หรือคิดเป็น 34% และกรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่สูงที่สุดที่มีคนเดินเท้าเสียชีวิตเฉลี่ยถึงปีละ 250 คน เราเลยมองโมเดลตัวอย่างของกฎหมายการจราจรและทางข้ามในประเทศอื่น อย่างประเทศอังกฤษที่เป็นประเทศที่ติดอันดับการจราจรปลอดภัยที่สุดในโลกและเป็นประเทศแรกที่มีทางม้าลาย ที่ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นที่เป็นเหตุผลในการสร้างก็จากความต้องการที่จะลดการเกิดอุบัติเหตุชนคนบนท้องถนนในช่วงที่คนเริ่มใช้รถยนต์ส่วนตัวกันเยอะมากขึ้นในช่วงนั้น ซึ่งเริ่มจากการทดลองสร้างทางเดินข้ามถนนด้วยลวดลายต่าง ๆ มานานตั้งแต่ช่วงปี 1940 แทนเสาบอกทางเดินข้ามที่คนขับขี่ก็ยังไม่ค่อยสังเกตเห็น จนสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น ทางม้าลายหรือ Zebra crossing ด้วยเพราะมันสังเกตได้ชัดที่สุดในปี 1951 แม้จะลดอุบัติลงได้แต่ก็ยังมีเคสที่ต้องบาดเจ็บและสูญเสียบนทางข้ามอยู่ ทำให้ในปี 1969 มีการวางระบบสัญญาณไฟข้ามถนน และปี 1971 กระทรวงคมนาคมของอังกฤษได้ตีเส้นจราจรซิกแซ็ก (Zig zag line) ขึ้นก่อนถึงทางม้าลาย เพื่อควบคุมไม่ให้คนขับขี่นำรถมาจอดในพื้นที่ที่ตีเส้นไว้จนทำให้บดบังการมองเห็นคนข้ามถนน […]