BUD LIVEHOUSE #45 WNRDA / H I N A N O / Numcha

เป็นอีกคืนที่แสนหวานและสวยงาม BUD LIVEHOUSE #45 WNRDA / H I N A N O / Numcha ขอขอบคุณศิลปินทั้ง 3 ท่าน ที่มาสร้างสีสันให้กับ BUD LIVEHOUSE ด้วยเสียงเพลงที่ชวนเคลิบเคลิ้มและหวานจับใจ เป็นการต้อนรับเดือนพฤษภาที่อบอุ่นมาก รู้สึกสุขใจที่ได้ฟังเพลงใหม่ที่เล่นที่นี่เป็นครั้งแรก พร้อมกับโชว์ที่ศิลปินทุกคนจัดเต็มและทุ่มเทสุด ๆ เราเชื่อว่าชาว Bud เองก็ปลื้มปริ่มไม่แพ้กัน ใครที่พลาด เดือนนี้ยังมี #46 #47 ให้ได้กดบัตรและมาจอยกัน ช้าอด ระวังหมดนะ bit.ly/blh-may23มาซัพพอร์ตศิลปินให้มีแพชชั่นทำผลงานเพลงและสร้างสีสันให้วงการดนตรีไทยด้วยกัน #BUDLIVEHOUSE #BUDWEISERCLUB #BYLIDO #LIDOCONNECT

Musketeers Romantic Prom Night Concert

จบไปแล้วกับ Musketeers Romantic Prom Night คืนที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก อบอวลไปด้วยบรรยากาศกับเพลงของวงที่คิดถึงมาก งานนี้วงขนเซ็ตเพลงเก่าสมัยเรายังอยู่มัธยมมาเพียบ เหมือนได้ย้อนวัยไปรักในตอนนั้น Mood ในคอนเสิร์ตเกินบรรยาย เสียงร้องฉ่ำ ๆ กับไฟดิสโก้ดีมาก พิเศษอีกเพราะมีศิลปินรับเชิญเซอร์ไพรส์หลายคน ดีใจแทนทุกคนที่กดบัตรทันจริง ๆ จนถึงวันนี้ก็ยังฟัง Musketeers แบบมูปออนไม่ได้จากคอนเสิร์ตอยู่ #MusketeersRomanticPromNightConcert #Musketeers #Jamesonconnect #LIDOCONNECT

5 ปี 10 ปี ไม่มีความฝัน ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง

5 ปี 10 ปี ไม่มีความฝัน ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง เราถึงเอาไม้บรรทัดแห่งความสำเร็จไปใช้วัดใครไม่ได้ จากประเด็นที่ครีเอเตอร์คนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ที่อยากให้ทุกคนรู้จักการวางเป้าหมายชีวิตในอนาคต 5-10 ปี ข้างหน้าของตัวเองพร้อมกับแสดงความคิดเห็นว่าไม่ให้โทษระบบสังคม เศรษฐกิจโลก และการเมือง แต่ให้เริ่มขวนขวายด้วยตัวเอง ในเมื่อแต่ละคนมีต้นทุนทางเศษฐกิจไม่เท่ากัน เพื่อนคิดว่าความคิดนี้น่ากลัวแค่ไหน  หากเรามองภาพกว้างว่าทุกวันนี้ว่าในโลกโซเชียลมีเดียพยายามเสนอภาพและหล่อหลอมชุดความสำเร็จให้ทุกคนมานำเสนอด้วยกัน สิ่งนี้สามารถสร้างได้ทั้งแรงผลักดัน แรงบันดาลใจ และแรงกดดันกับคนตัวเล็กที่กำลังพยายามอยู่จากต้นทุนที่ตัวเองมี อีกอย่างที่จะไม่นึกถึงไม่ได้ คือ ปัจจัยสังคมที่ส่งผลกับชีวิต ความฝันของแต่ละคน ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว ภาระที่หักรายได้ ชุมชน ประกันชีวิต ทุนสังคม และสวัสดิการ ที่เข้าถึงได้ไม่เท่ากันตามการอยู่อาศัย รวมถึงเรื่องการเมืองด้วย ซึ่งมันมีเรื่องเชื่อมโยงกันมันเยอะมาก ซึ่งแต่ละปัจจัยก็กดทับแต่ละคนไม่เท่ากันอีก แล้วจะตัดสินขาดได้อย่างไรว่าทุกคนควรมีเป้าหมายชีวิตที่เป็นสเต็ปก้าวหน้าแบบนั้น แรงกดที่แต่ละคนแบกรับนั้นค่อย ๆ หักกำลัง แพสชัน ความฝัน และต้นทุนที่มีลงเรื่อย ๆ โดยที่ยากด้วยซ้ำที่จะเตรียมการทุนสำรองชีวิตในอนาคต แค่ใช้ชีวิตประจำวันให้ผ่านไปได้อย่างดีก็น่าชื่นชมมากแล้ว เราเชื่อเสมอว่า เราแต่ละคนมีช่วงเวลาเติบโตเป็นของตัวเอง รวมถึงมีโอกาสที่จะได้ค้นหา ลองผิดลองถูกตามแผนที่ตัวเองวางไว้อย่างปลอดภัย แม้จะเจอความล้มเหลวหรือความรู้สึกท้อใจก็ไม่ใช่การตัดสินว่าเราไม่ได้พยายาม ดังนั้นไม่ว่าเพื่อนจะมีชีวิตอย่างไร วางแผนอนาคตหรือกำลังตั้งใช้ชีวิตในตอนนี้อยู่โดยไม่ได้มีเป้าหมาย เราก็ชื่นชมในแบบนั้น 에그벳 구독자 […]

Atelophobia ไม่รู้จะก้าวข้ามกำแพงนี้ยังไง เรากลัวตัวเองดีไม่พอ

ในโลกที่สอนให้ทุกคนไม่ยอมแพ้ แข่นขันกับตัวเอง ทุกคนมีฟีดโชว์แสดงความสำเร็จ เรากลับรู้สึกสูญหาย ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ กลัวตัวเองดีไม่พอ และยากเวลาที่ต้องแบกรับอะไร ทำความเข้าใจ Atelophobia ภาวะที่เมื่อเราเข้าสู่ความคิดของการรู้สึกหล่นหาย สงสัยในความสามารถของตัวเอง กลัวดีไม่พอเวลาที่จะเริ่มต้นทำอะไรก็ตามแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ถ้าต้องเลือกระหว่างลองทำ ลองผิดลองถูกก็เลือกไม่ทำไปเลยดีกว่า เลี่ยงทุกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกว่าสุดท้ายจะทำได้ไม่ดีพอ ความน่าเป็นห่วงคือภาวะนี้มีมีเอฟเฟกต์กับร่างกายเกิดกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งมีทั้งใจสั่น นอนไม่หลับ เหงื่อออก ขาดสมาธิ ย้ำคิดย้ำทำ ไปจนกระทบกับจิตใจเกิดความวิตกกังวลระดับรุนแรงที่ต้องปรึกษาแพทย์และใช้ยาร่วมด้วย  จะเห็นว่า Atelophobia เป็นส่วนหนึ่งของโรควิตกกังวล ถ้าจะพูดว่าสาเหตุของภาวะนี้เพราะคนที่เป็นมีภูมิต้านทานต่อการเผชิญหน้าและความกลัวน้อยอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด การเติบโตจากเลี้ยงดูที่เข้มงวดตั้งแต่เด็ก การเจอสถานการณ์จากบุคคลที่ 3 ที่ทำให้ตัวเองฝังใจเวลาที่ตัวเองลงมือทำบางอย่างจนรู้สึกแย่ที่สุดเวลาที่ตัวเองล้มเหลวก็ส่งผลให้เกิด Atelophobia ได้เหมือนกัน ทุกคนมีความอ่อนไหวและการตั้งความหวังกับตัวเองกับตัวเองไม่เหมือนกัน ความกลัวต่อการทำทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม เราเข้าใจนะ สิ่งที่จะช่วยได้ คือ คนใกล้ตัวก็ต้องเข้าใจ เปิดพื้นที่ให้มีเวลาตัดสินใจได้อย่างคอมฟอร์ต ถึงจะทลายความกลัวพวกนี้ได้

วิจัยบอกสายใยแห่งสัมพันธ์ ถ้าเพื่อนเครียด เราจะเครียดไปด้วย

วิจัยบอกสายใยแห่งสัมพันธ์ ถ้าเพื่อนเครียด เราจะเครียดไปด้วย มีใครรู้สึกว่าเป็นแบบนี้บ้าง ถ้าเพื่อนในกลุ่มเครียดสักคนไม่ว่าจะเรื่องงาน เงิน สุขภาพ ความรักหรือครอบครัว เรื่องไหนก็ตาม คนในแก๊งก็จะกังวลด้วย  น่าสนใจเพราะเรื่องนี้มักเกิดขึ้นกับกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยทำงานถึงช่วงอายุ 28 ปี จากงานศึกษานักวิจัยเจอว่า ความเครียดของคนนั้นจะส่งผลกับเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มด้วย ยิ่งถ้าทุกคนมีความเครียดกันหมด ระดับความของกลุ่มจะพุ่งสูงขึ้น ส่วนเหตุผลที่ความเครียดระดับบุคคลถ่ายทอดเชื่อมโยงกันในกลุ่ม นักวิจัยอาจระบุชัดเจนเลยไม่ได้ แต่ตั้งข้อสังเกตใช้แนวคิดจิตวิทยาความสัมพันธ์มนุษย์อธิบายว่า อาจเพราะพื้นฐานเวลาที่เรารู้สึกมีส่วนร่วมกับกลุ่ม เราจะพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของคนอื่น และสังเกตอารมณ์เพื่อนเพื่อช่วยปลอบใจหรือหาทางออกให้ ซึ่งมันเป็นเหมือนอิทธิพลทางอารมณ์ร่วมกันนั่นเอง ที่สำคัญงานวิจัยชิ้นนี้เล็งจะศึกษาต่อกับช่วงอายุที่มาขึ้นอยู่ ส่วนทางออกที่นักวิจัยมองเห็นถ้าทั้งกลุ่มมีความเครียดสูงด้วยกันจนไม่มีใครผ่านมันไปได้ ก็คือการให้การปรึกษาแบบกลุ่มจากนักจิตวิทยาจะเป็นวิธีที่ช่วยได้จริงที่สุด อยากรู้เหมือนว่าถ้าเป็นวัยผู้ใหญ่เลยยังมีการเชื่อมโยงความเครียดในกลุ่มเพื่อนเหมือนกันไหม ถ้าไม่ ก็น่าคิดต่อเพราะว่าเพราะอะไร จะเกี่ยวข้องกับการที่รู้สึกร่วมกับกลุ่มน้อยลงตามวัยหรือเปล่า ทุกคนคิดยังไงบ้าง มีใครที่เพื่อนเครียดแล้วเครียดตามด้วยไหม

เราไม่อดทน หรือแค่กล้าออกมาเมื่อรู้ตัวเอง

เด็กสมัยนี้ไม่อดทนหรือกล้าที่จะออกมาจากสิ่งที่ตัวเองรู้ว่าควรล้มเลิก หนึ่งในเรื่องที่เราเจอเยอะมากในตอนนี้ เพื่อนรอบตัวจำนวนไม่น้อย กำลังตั้งคำถามกับสิ่งตัวเองอดทนอยู่ และความรู้สึกหลงทางในการค้นพบตัวเอง ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรได้ดีหรือสิ่งที่ชอบจะทำให้เลี้ยงตัวเองและเป็นทุนสำรองในชีวิตให้รู้สึกปลอดภัยได้ยังไง การทำงาน สถานการณ์ครอบครัว และสภาพสังคม เป็นตัวหลักที่หลอมรวมความหนักอึ้งของความรู้สึกที่สับสนกับตัวเอง เมื่อต้องอยู่ในจุดที่ตัดสินใจเลือกในแต่ละทาง อดทนกับงานที่ตัวเองหมดไฟเพื่อเลี้ยงปากท้อง อยู่ในอำนาจของผู้ใหญ่ในบ้านเพื่อแสดงความกตัญญู ใช้ชีวิตอย่างปกติในเมืองโดยที่ปล่อยให้สิทธิพื้นฐานโดนกัดกิน หรือกล้าหาญที่จะออกมา  ในสายตาของคนที่อยู่มาก่อน การล้มเลิกส่วนใหญ่ถูกมองเป็นการขบถและการยอมแพ้ ถูกมองว่าเราไม่อดทน ปรับตัวไม่ได้กับสภาพแวดล้อมสังคมที่เป็นชีวิตจริงในแบบผู้ใหญ่ การตัดสินก้าวออกมาจากสิ่งที่ตัวเองรู้ว่าไม่ทนอีกต่อไปมักถูกเสียงไล่หลังว่า นี่แหละเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักอดทน มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเราบอกว่าไม่ใช่ แต่มันคือความกล้าหาญที่จะมีพื้นที่ให้ได้ค้นหาและรักตัวเอง สำหรับทุกการล้มเลิกที่กำลังหาเส้นทางเริ่มต้นใหม่ต่างหาก คิดยังไง ทำไมเราถึงพูดว่ามันคือความกล้าหาญ เพราะทุกเสียงจากเรื่องที่เราได้ฟัง การล้มเลิกต้องใช้ความกล้าอย่างที่สุดในการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะเดินออกมาจากที่เดิมที่คุ้นเคย สุดท้ายการพูดว่าการล้มเลิกคือการถอดใจ การอดทนเป็นของคนชนะเท่านั้น มันอาจจะไม่ใช่ คำพูดนี้สร้างวัฒนธรรมการอดทนอดกลั้นที่น่ากลัว ทุกคนมีปลายทางที่สำเร็จได้จากการรู้ว่าอะไรที่สิ่งที่ใช่กับตัวเอง ดังนั้น ไม่ใช่ไม่อดทนไม่ทน แต่เราไม่ทรยศความรู้สึกตัวเอง