APPLE MUSIC ร้องคาราโอเกะให้แม่ด่าไปเลย
สายคอทองคำ พร้อม ใครใช้ Apple Music โหมดร้องคาราโอเกะมาแล้ว เปิดคอนเสิร์ตตอนอาบน้ำให้แม่ด่าไปเลย ตอนนี้ทยอยอัปเดตแล้วทุกคนใน Apple Music ใครใช้ลองเช็คดูจะเจอ Apple Music Sing มีโหมดตัดเสียงร้องให้เราร้องแบบคาราโอเกะได้แล้ว แล้วก็พิเศษอีกเพิ่มฟังก์ชันคือมีเสียงร้องประกอบเป็นเหมือนเสียงคอรัส (Chorus) ให้เราด้วย โดยที่จะมีแถบเสียงให้เราเพิ่มลดได้ ใครฝึกร้องเพลงอยู่ ปังนะ อันนี้ใช้ได้ทั้งใน iPhone, iPad และ Apple TV 4K ใหม่ด้วย ต้องลองอัปเดตเวอร์ชั่น IOS ให้เรียบร้อยดู ถ้ายังไม่มีแสดงว่า Apple กำลังทยอยอัปเดตให้ทุกคนอยู่ (แต่เขาคอนเฟิร์มเองนะว่าเดือนนี้)ไหนใครมี Apple Music Sing แล้วบ้าง โชว์หน่อย ปีใหม่นี้เอาไปเปิดตี้ร้องกันเลย
ย้อนดูความสวยในประวัติศาสตร์ที่ผู้หญิงต้องแลกมาด้วย “ความเจ็บปวด”
ปฏิเสธไม่ได้เลย “ความสวย” เป็นเรื่องที่แทบทุกคนใฝ่ฝัน แล้วถ้าพูดคำว่าสวย เราคงอยากได้ยินจากคนที่เราเชื่อว่าเขาชื่นชมเราจริง ๆ เพื่อน ๆ เคยอยากได้คำชมว่าสวยไหม ความสวยที่ผ่านมาจากจุดเริ่มต้น มันแทบไม่เคยเปลี่ยนเลย เรายังคงตามหาความสวยให้ตัวเอง ซึ่งมันก็กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนทุกยุค ที่พยายามแต่งหน้า บำรุงผิว ทำผม แต่งตัว เล็บ และอื่น ๆ เพื่อให้คนรอบตัวยอมรับ ซึ่งตลาดก็ทำหน้าที่เสิร์ฟสิ่งเหล่านี้ให้ผู้บริโภค แต่รู้ไหมเราเจอว่าผู้หญิงในอดีตมีค่านิยมความสวยที่แปลกมาก เพราะผู้หญิงบางคนถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตของตนเอง เพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานความงามของยุคสมัยนั้น ๆ ต่อให้ต้องยอมทนเจ็บปวดจากการทำสวยมากก็ตาม เพื่อให้ตัวเองถูกยอมรับจากครอบครัว สามี ชุมชน แวดวงสังคม โดยถ้าไม่ทำก็คงถูกกีดกัน ซึ่งอาจถึงขั้นโดนมองว่าแปลกในสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ ทีนี้มาดูกันว่าในอดีตมีความเชื่อเกี่ยวกับค่านิยมความสวยงามอะไรบ้างที่แปลกประหลาด และอาจเป็นความสวยที่เพื่อน ๆ คาดไม่ถึงมาก่อนว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว ยืดกะโหลกเพื่อให้หน้าผากดูสวย ความเชื่อของชาวมายันโบราณเชื่อว่าการมีหน้าผากที่แบนเรียบถือว่าเป็นความงดงาม ซึ่งพวกเขาทำการกดและผูกกะโหลกเป็นรูปทรงต่าง ๆ ทนใส่เสื้อรัดรูปที่ทำจากโลหะจนกระดูดซี่โครงหัก ในศตวรรษที่ 19 มีกระแสนิยมบอกว่าผู้หญิงควรมีเอวเล็ก ซึ่งคอร์เซ็ต (เสื้อผ้ารัดรูป) สมัยก่อนทำมาจากโลหะ ทำให้ผู้หญิงที่สวมคอร์เซ็ตทุกวันต้องทรมานจากกระดูกซี่โครงหักและอวัยวะที่ถูกเคลื่อนย้ายนั่นเอง อาบสารหนูเพราะคิดว่าจะทำให้ผิวขาวและดูเด็ก ในยุควิกตอเรีย (ช่วงปี 1837-1901) ผู้หญิงจุ่มตัวเองลงในสารหนูเพื่อให้มีผิวที่ขาวราวกับน้ำนม และก็มีเครื่องสำอางจำนวนมากที่ใส่สารหนูลงไปเพราะเชื่อว่าจะทำให้ผิวดูขาวขึ้นและอ่อนวัยขึ้น ยอมใส่รัดเท้าจนกระดูกหัก เริ่มตั้งแต่ยุคต้นของศตวรรษที่ 10 […]
Virtualartgallery.com ชมงานศิลปะระดับโลกในนิ้วเดียว ไม่ต้องบินไปเอง มีทุกรูปแบบยันงานแปลก! 🖼️
ชมงานศิลปะระดับโลกในนิ้วเดียว ไม่ต้องบินไปเอง มีทุกรูปแบบยันงานแปลก! 🖼️ เราแอบไปส่องแกลลอรี่นึงจากต่างประเทศมา น่าจะเหมาะกับคนงบน้อยแต่อยากชมงานศิลปะระดับโลก หรือจะเป็นคนโสดขี้เหงาแบบเรา ๆ ในช่วงเทศกาลแบบนี้ ไม่มีใครชวนไปดูงานศิลปะ ก็ไปเองซะเลยใน Virtualartgallery ที่จะพาเพื่อน ๆ ไปเยี่ยมชมผลงานศิลปะและนิทรรศการเยอะแยะมากมายได้ทุกที่ทั่วโลก บอกเลยมันน่าสนใจมาก เพราะในนั้นมีหลากหลายนิทรรศการ และผลงานศิลปะหลายรูปแบบให้เลือกชม ทั้งภาพ 3 มิติ ภาพเคลื่อนไหว แล้วไม่ใช่แค่นั้นนะ แต่ยังมีเพลงให้เราได้คล้อยตามขณะชมผลงานนั้น ๆ ด้วย ทำให้รู้สึกเหมือนได้ดื่มด่ำ และพาเราไปเปิดประสบการณ์ศิลปะในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป เราได้หยิบเอา 5 งานนิทรรศการต่าง ๆ ใน https://virtualartgallery.com มาให้ดูด้วยแหละ ใครไม่อยากเสียตังบินไปดูถึงต่างประเทศ ลองไปเดินเล่นดูกันได้เลย ________________________________________ ถ้าไม่อยากพลาดคอนเทนต์ดี ๆ แบบนี้จากลิโด้ กดไลก์ กดติดตาม Lido Connect เป็นรายการโปรดไว้เลยที่มุมขวาบนของหน้าเพจ กดเลือก การตั้งค่าการติดตาม รายการโปรด หรือ Favourites ทุกเรื่องที่เราตั้งใจหยิบมาเล่า อยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนและหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกได้
ตัวเองเป็นดอกไม้ชนิดไหนในปากคลองตลาด💐
ทุกคน ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ลองเล่นดู Flowerhub Space Quiz แบบทดสอบว่าตัวเองเป็นดอกไม้ชนิดไหนในปากคลองตลาด น่ารักดี ใจฟู แบบทดสอบนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้สำรวจตัวเล็ก ๆ ว่าคาแรคเตอร์ของตัวเองจะเป็นแบบไหนเมื่อเปรียบเทียบกับดอกไม้ในชุมชนปากคลองตลาด ซึ่งอันนี้ทำขึ้นคู่กับงาน ARCH SU FEST จาก Human of flower market และ Splendour Solis เป็นเทศกาลคนรักดอกไม้จัดขึ้นทั่วปากคลองตลาด ถ้าเล่นควิซแล้วอยากไปเดินจะได้เจอทั้งสีสัน เห็นวิถีชีวิต ได้ฟูลฟีลจากดอกไม้ และงานศิลปะจากชาวปากคลองฯ แน่นอน ลองเล่นกันดูเลยทุกคน https://flowerhub.space/quiz/หรือจะดูข้อมูลงานเพิ่มได้ที่ https://web.facebook.com/manuspakkhlong
ผู้หญิงกับรอยสัก ประวัติศาสตร์ของศิลปะบนเรือนร่างและจุดยืนทางสังคม
ผู้หญิงกับรอยสัก ประวัติศาสตร์ของศิลปะบนเรือนร่างและจุดยืนทางสังคม เอาเรื่องประวัติรอยสักก่อน ถ้าย้อนกลับไป นักโบราณคดีบอกว่า ตั้งแต่ก่อนปี 1991 การสัก น่าจะเกิดขึ้นเมื่อ 2,000-3,000 ปีก่อน (ก็คือหมายความว่ามีมาก่อนคริสตศักราช) โดยมีการค้นพบจากเครื่องเคลือบดินเผาของจีน ซึ่งมีรูปคนที่มีลายสักและมีการพบมัมมี่ที่มีลายสักในอียิปต์อีกด้วย ที่นี้รอยสักของผู้หญิง เริ่มมาตอนไหน มันเริ่มจากที่กรีก ตอนนั้นรอยสักทำหน้าที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์บนใบหน้าของทาสและอาชญากร ผ่านมาสักพักการใช้รอยสักรูปแบบนี้ก็เริ่มแพร่หลายในทวีปยุโรปมากขึ้นนั่นเอง สรุปก็คือตอนนั้นรอยสักก็ถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ของนักโทษและผู้รับใช้ ส่วนในไทย แต่ก่อนการสักก็ไม่ต่างกัน ก็จะมีการสักหลายตำแหน่งเลย ทั้งสักที่ข้อมือ (แสดงการขึ้นทะเบียนเป็นไพร่) ทั้งสักที่หน้าผาก (แสดงว่าเป็นนักโทษจําคุก) มันคือการประจานความผิดตามกฎมณเฑียรนั่นแหละ ซึ่งจะเป็นผู้ชายที่ถูกทำแบบนี้ มาถึงการสักของผู้หญิงบ้าง เรื่องซ่อนเร้นของรอยสักที่อยู่บนตัวผู้หญิง มันมีนัยะของการเป็นสัญลักษณ์เชิงเสริมอำนาจในยุคสตรีนิยม ที่ผู้หญิงสักเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเองที่ไม่ยอกถูกกดขี่ไม่ว่าจะเรื่งออะไรก็ตาม ไม่ยอมรับการถูกบังคับทำแท้ง การถูกทำร้ายจากผู้ชาย รวมถึงอำนาจกดขี่ ซึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นถึงของความเข้มแข็งของผู้หญิงสมัยก่อนมาก ๆ การสู้กับความเหลื่อมล้ำทางเพศ สุดท้ายก็มีผู้หญิงคนแรกที่สักเกิดขึ้นจริง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า Olive Oatman เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวที่มีรอยสักสักสีน้ำเงินบริเวณคางที่มีไว้เพื่อระบุตัวตนในชีวิตหลังความตายของเธอนั่นเอง จากรอยสักของโลกจนมาถึงผู้หญิงมันเดินทางไกลมาก ตอนนี้จากเมื่อ 20 ปีที่แล้วก็เหมือนกัน ผู้หญิงก็ยังไม่เยอะ แทบจะไม่มีใครสักเลย แต่การสักของผู้หญิงก็ถูกใจอีกครั้งตอนที่อาจารย์หนู กันภัย สักให้แองเจลีนา โจลี ดาราฮอลลีวูด จากนั้นเราก็เริ่มเห็นผู้หญิงพากันไปสักยันต์ 5 แถวกัน โดยที่ใช่เพื่อบูชาอย่างเดียว […]
กระแสเพลง Speed-Up บน Tiktok กำลังทำลายคัลเจอร์การฟังเพลงอยู่รึเปล่า
กระแสเพลง Speed-Up บน Tiktok กำลังทำลายคัลเจอร์การฟังเพลงอยู่รึเปล่า จะพูดว่าเป็นอีกรสชาติหนึ่งของเพลงในโซเชียลตอนนี้ก็ได้ โดยเฉพาะใน Tiktok เต็มไปหมด ที่เพลงในทุกวงการโลกจะถูกมิกซ์ใหม่ให้มันส์กว่าเดิม แบบไม่แคร์เวอรชั่นออริจินัลแล้ว ถ้ายังงงว่าอะไรคือเพลง Speed-Up มันคือเพลงที่เอามามิกซ์ใหม่ด้วยการเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น และใช้ High-pitched เปลี่ยนเสียงร้องให้เป็นเสียงแหลม มันถูกมองว่าเป็นเพลงแบบ Happy hardcore มาก ๆ เพราะว่าพอออกมาก็คือต้องสนุกสุด มันส์สุด ไม่สนความเพราะด้วย จริง ๆ การมิกซ์เพลงแบบนี้มันมีนานมาแล้ว แต่ที่แมสมาก ยิ่งกับปีนี้ก็เพราะ Thomas S. Nilsen และ Steffen Ojala Soderholm เป็น 2 คนจากนอร์เวย์ที่ใช้ Nightcore (เทคนิคมิกซ์เพลงแบบเร่งจังหวะ) เป็นตัวต้นเรื่องให้ Tiktok ผลิตเพลงแบบนี้ออกมากับเพลงอิต (จากเพลงดั้งเดิม) เสิร์ฟพวกเราชาว Tiktokers ตอนนี้การใช้ Nightcore ทำเพลง Speed-Up มีอยู่เต็มไปหมด ถ้าเสิร์ชดูก็จะเจอเยอะมากเพลงมิกซ์ Tiktok […]
เข้าใจวัฒนธรรม Mosh Pit การเต้นสุดเดือดของสายเมทัลและฮาร์ดคอ
เข้าใจวัฒนธรรม Mosh Pit การเต้นสุดเดือดของสายเมทัลและฮาร์ดคอร์ที่หลายคนมองว่าบ้าบิ่นและอันตราย มอชพิท หรือ Mosh Pit ถ้าเราย้อนดูเหมือนว่าจะคล้ายกับพิธีกรรมของชนเผ่าในปาปัวนิวกินีเมื่อกว่า 40,000 ปีก่อน ที่ผู้อาวุโสในเผ่าจะทำการแบ่งปันของบางอย่างให้ถ้าออกมารวมกลุ่มเต้นชนกัน ซึ่งพอไล่มาในช่วงที่มีการเรียกสิ่งนี้ว่ามอชพิทจริง ๆ ก็น่าจะเป็นช่วงประมาณปี 80’s ที่มีวง Hardcore punk เล่นดนตรีสดแล้วคนมอชกันเลยเรียกสิ่งนี้ว่าแมชพิท (Mash pit) แล้วเหมือนก็ถูกได้ยินว่า มอชพิช วัฒนธรรมมอชพิทแพร่กระจายไปพร้อมกับการเล่นดนตรีในสายพังค์ ร็อค และเมทัล แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะโอเคกับการเต้นนี้ แม้แต่ศิลปินเองก็ตาม อย่างครั้งหนึ่งที่ซานเบอร์นาร์ดิโน (San Bernardino) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คอรีย์ (Corey Taylor) นักร้องนำสลิปน็อต (Slipknot) วงเมทัลระดับโลกเคยสั่งหยุดเล่นสดกลางคันด้วยเหมือนกัน เพราะเห็นว่าทุกคนกำลังมอชพิทกันแบบบ้าระห่ำเกินไปถึงขนาดที่บางคนชักและมีการจุดไฟเผาเสื้อเอามาโบก ก็อันตราย เจ้าหน้าที่เลยเข้ามาดับไฟและรักษาความปลอดภัย นอกจากครั้งนี้ ศิลปินอีกหลายคนก็ไม่เอ็นจอยกับสิ่งนี้เพราะมองว่าเหมือนคนดูสนใจที่จะมอชมากกว่าการแสดง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนโอเคอยู่ ทีนี้มามองในมุมของพฤติกรรมบ้าง นักมานุษยวิทยาในอังกฤษ อธิบายว่าคนที่ทำมอชพิทจะเคลื่อนที่แบบสุ่ม ไร้ทิศทาง และกระแทกกันจนทำให้เจ็บตัวได้ ซึ่งถ้าจินตนาการภาพแบบฟิสิกส์ เวลาคนมอชกันมันเหมือนอนุภาคของแก๊สที่กำลังเคลื่อนที่ กระดอนไปมา และถ้ามองแบบจิตวิทยามันเป็นการที่คนทำต้องการดำดิ่งไปกับดนตรีและปล่อยร่างกายให้เคลื่อนไหวอิสระตามอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นจากเพลง ดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารแบบกลุ่ม […]
ทำไมเราถึงกล้า “ทิ้ง” ทุกอย่างตอนสิ้นปี
มีอะไรที่อยากทิ้งมาทั้งปีแต่ไม่กล้าไหม รอเวลาปีใหม่ถึงจะตัดใจได้ รู้ไหม ทำไมเราถึงกล้า “ทิ้ง” ทุกอย่างตอนสิ้นปี เริ่มต้นพอเดินทางมาตลอดทั้งปีกับประสบการณ์และสิ่งที่เราเจอ ทำให้พอถึงเดือนธันวาคมหรือช่วงกลายเป็นเวลาของการที่เรารวบรวมความทรงจำ เรามักจะถูกกระตุ้นให้หันกลับไปมองตัวเองใน 12 เดือนที่ผ่านมาเหมือนเป็นการรีวิวตัวเอง ทำให้เรามีจุดหนึ่งที่เปลี่ยนจากความเศร้า คิดถึง หรือหวงแหนบางอย่างที่เราไม่กล้าปล่อยแม้มันทำให้เราเศร้า เจ็บปวด เป็นการชื่นชมและอยากให้ความรักตัวเองตัวเองมากที่สุดแทน นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเลือกที่จะใช้เวลานี้ในการกล้าปล่อยมือจากสิ่งที่เรายึดติดไว้แล้วบอกตัวเองให้ก้าวต่อไป พูดได้ว่าเป็นความเต็มใจของเราที่อยากสะสางเรื่องบางอย่างของตัวเองสักที ซึ่งสิ้นปีและปีใหม่กลายเป็นเวลาที่เหมาะสุดสำหรับการทิ้ง แล้วก็ไม่ใช่เรื่องการทิ้งเท่านั้น พลังของสิ้นปีหลายครั้งก็ทำให้เรากล้าที่จะเริ่มต้นบางอย่างที่เรากลัวหรือเอาแต่ผลัดมาตลอดด้วย ต่อให้เป็นเช็คลิสต์เล็ก ๆ ของตัวเองอย่างการซื้อของ ออกเดินทาง ลงคอร์สเรียน เริ่มอ่านหนังสือ เขียนไดอารี่ ออกกำลังกาย หาหมอ ตรวจสุขภาพ ฯลฯ ดร.จูดิธ ซิลล์ส (Judith Sills) นักจิตวิทยาคลินิค ก็บอกว่าสิ้นปีนี่แหละเป็นเวลาที่เหมาะและดีสุดที่เราจะได้บอกตัวเองให้มีแพชชั่นที่จะเริ่มต้นทำเริ่มพวกนี้ ไปพร้อมกับการทิ้ง ปล่อยวาง ใจดีกับตัวเองได้แล้ว ถึงเวลาที่เราต้องทิ้งสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดได้แล้วนะ ทิ้งความคาดหวังว่าเราจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ทิ้งความคิดเก่า ๆ และความล้มเหลวล้มเหลว กล้าเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ถ้าเริ่มต้นใหม่แล้วไม่เวิร์ค ให้ทิ้งอีกที แล้วลองเปลี่ยนวิธีดู ถ้ามันผิดพลาด จนเรารู้สึกผิด ให้รู้จักให้อภัยตัวเองโดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ เรียนรู้มันไป และทิ้งความกังวลจากความเห็นของคนที่ไม่รู้จักเราดีพอด้วยนะ ทุกวันนี้ยังมีเรื่องที่เราไม่กล้าทิ้งไหม มาถึงตรงนี้จะหมดปีแล้วนะ คิดว่ากล้าที่จะปล่อยมันไปหรือยัง สำหรับใครที่ทิ้งได้แล้ว เก่งมาก
FESTIVAL TYCOON ฝันของคนรักคอนเสิร์ต
ฝันของคนรักคอนเสิร์ต ที่ไหนไม่ถูกใจก็จัดเทศกาลดนตรีของตัวเองใน Festival Tycoon ไปเลย ไม่ต้อง้อใคร จะมีหลังคา โฟโต้บูธดี ๆ แค่ไหนก็ได้ นี่เป็นเกมชื่อว่า Festival Tycoon เป็นวิดิโอเกมที่ Johannes Gäbler ใช้เวลาพัฒนาทุ่มเทมากกว่า 2 ปี ชอบมาก เพราะหลัก ๆ ของเกมนี้คือ เราสร้างและจัดงานเทศกาลดนตรีของเราได้เอง จัดเวที ตกแต่งงาน ม็อคอัพมาสคอตได้หมด แถมยังสร้างตัวละครต่าง ๆ วางแผนไลน์อัพศิลปินที่เราต้องการได้ นอกจากนี้ตัวเกมยังมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง และเก็บรายละเอียดอย่างเยอะ! ไม่ว่าจะเป็น การสร้างร้านค้า ร้านขายอาหาร ห้องน้ำ การจัดระเบียบตัวละครต่าง ๆ การหาสปอนเซอร์ ก็คือใครเจ็บจากคอนฯ ไหนมา ไม่ถูกใจ เราก็เก็บเรื่องพวกนั้นมาสร้างเฟสติวัลดี ๆ ของเราได้ รวมถึงจ้างวงดนตรีได้หลายประเภทด้วย ในนี้บอกว่าทั้งโฟล์คและร็อค เราคิดว่าน่าจะทำได้มากกว่านี้ด้วย ที่สำคัญฝึกเราเรื่องบริหารด้วย สิ่งที่เราออกแบบมานั้นก็ต้องมีการบริหารในงบประมาณที่จำกัด และเราต้องดูแลความต้องการของวงดนตรีแต่ละวง ก็คือเรียกได้ว่าเหมือนจริงสุด สำหรับคนรักดนตรีที่มีความฝันอยากมีเฟสติวัลเป็นของตัวเอง […]
Gaslighting คำที่ถูกเสิร์ชมากที่สุดในปีนี้ สะท้อนปัญหาสุขภาพจิตในความสัมพันธ์ที่ Toxic รึเปล่า
พอเห็นคำนี้รายงานว่าเป็นคำที่ใช้เยอะสุดในปีนี้จากรายงานของ เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ (Merriam-Webster) พจนานุกรมภาษาอังกฤษ กับที่ช่วงครึ่งปีหลัง เราจะเห็นหลายคนพูดถึงความสัมพันธ์ Toxic กับตัวเองหรือเพื่อนคอยบอกให้ทุกคนออกมาจากความสัมพันธ์เหล่านี้ 💔 ซึ่งถ้าตามที่เมอร์เรียมจำกัดความไว้ จะบอกว่ามันคือการกระทำที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดหรือทำให้คนอื่นตกเป็นเป้าสงสัย เพื่อประโยชน์บางอย่างของตัวและให้ตัวเองไม่มีความผิด ซึ่งจากรายงานคำนี้ถูกค้นหาและใช้ในปี 2022 นี้มากกว่า 1,740 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ Gaslighting ใน Relationship ถ้าเรามีความสงสัยในตัวเองลึก ๆ รู้สึกตัวเล็ก ไม่ดีพอสำหรับอีกคนอยู่ แล้วทุก ๆ วันเราเจอการที่ถูกอีกคนบอกว่า ‘เป็นความผิดเรา’ ‘ทำอย่างงี้ก็เพราะเรา’ สุมไฟในใจเราบางอย่างให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองกับความสัมพันธ์ก็ใช่เหมือนกัน แนวทางที่มาชัดมากเลยของ Gaslighting คือการเลี่ยงสุดที่จะยอมรับว่าเป็นความผิดตัวเอง ใช้การเถียงแทน และโทษอีกฝ่าย ซึ่งต่อให้มีการขอโทษก็ขอโทษแบบที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด นอกจากนี้ Gaslighting ก็ถูกใช้บ่อยในบริบททางการเมือง อย่างในสหรัฐอเมริกาเราก็จะเจอบ่อยจากทรัมป์ที่โจมตีฝ่ายอื่น ยิ่งทำให้คำนี้ฮอตมาก เหมือนเป็นการทำสงครามเย็นใส่กันในความสัมพันธ์ ถ้าใครรู้สึกว่ากำลังตำหนิตัวเองจากคำพูดอีกคนทุกวัน ยังไงอยากลองคุยกับตัวเองดูว่ามันเป็น Toxic Relationship ที่เราต้องออกมาแล้วรึเปล่า