ญี่ปุ่นนำอีกแล้ว อนุญาต นักเรียนชายใส่กระโปรงได้ ไม่ผิดกฎ

ญี่ปุ่นนำอีกแล้ว อนุญาต นักเรียนชายใส่กระโปรงได้ ไม่ผิดกฎ อิจฉา แต่ชอบ อยากให้บ้านเรามีแบบนี้บ้าง ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนนำร่องโรงเรียนแรกแต่ดูจะเป็นสัญญาณที่ดีในญี่ปุ่นที่อนุญาตให้นักเรียนทุกเพศสวมเครื่องแบบได้ตามใจ โดยเฉพาะ (เพศสรีระ) ชาย อยากใส่กระโปรงก็ใส่ได้จะตามอัตลักษณ์ของตัวเองหรืออยากใส่มาเรียนเฉย ๆ ตามอารมณ์ก็ไม่ผิด คิดดูนี่เป็นโรงเรียนประถมคาชิวาโนฮะ มันดูเป็นการเริ่มปลูกฝังความหลากหลายที่ดีมาก โรงเรียนเปิดใหม่เปิดมา 6 ปีก็มากับแนวคิดใหม่ ๆ ที่เราโคตรชอบเลย ตอนแรกผู้บริหารมีทัศนคติเรื่องเครื่องแบบว่าไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แต่ที่ยังคงการใส่เครื่องแบบไว้ก็เพราะส่วนหนึ่งเคารพความคิดเห็นของผู้ปกครองที่ 90 เปอร์เซ็นต์ยังอยากให้ให้ใส่ยูนิฟอร์มอยู่ รอดูว่าต่ออาจจะถึงขั้นปลดล็อคจากการมีเครื่องแบบนักเรียนเลยก็ได้ มันดูเป็นสเต็ปอยู่ ยังไงตอนนี้โลกเราก็พยายามไปสู่สังคมที่ยอมรับทุกความหลากหลาย ยิ่งช่วงประถมถึงมัธยมนี่เป็นช่วงของการหาความเป็นตัวเองด้วย คิดอยู่ว่าถ้าต่อไปโรงเรียนในไทยเปิดหมดให้แต่งอะไรก็ได้ไปเรียน มันจะเป็นยังไงเพราะประเด็นนี้ทุกวันนี้ทุกคนก็ยังถกกันอยู่   อ่านรายละเอียดที่ Japanese public school to allow male students to wear skirts, chest ribbons as part of uniform | SoraNews24 -Japan News-

มูฟตัวเองจากอะไรที่ Toxic แล้วทำไมบางทีเรายังรู้สึกผิด

มูฟตัวเองจากอะไรที่ Toxic แล้วทำไมบางทีเรายังรู้สึกผิด เป็นไหม ตอนที่เราตัดสินใจแล้วว่าจะพาตัวเองออกมาจากเรื่อง Toxic โดยเฉพาะความสัมพันธ์ เรากลับรู้สึกผิดลึก ๆ ทั้งที่มันไม่ง่ายด้วยจะออกมา แต่พอเราเลือกที่จะปล่อยแล้วทำไมเราถึงรู้สึกผิดกับอีกคนตลอด เราสงสัยมาก ได้ลองคุยกับเพื่อนที่พาตัวเองออกมาจากความสัมพันธ์แบบนี้ หลายคนก็มูฟออนจากมันได้เต็มที่ ไม่ติดค้างอะไร สำหรับความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้น ในความสัมพันธ์ แน่นอน เราผูกพัน ไม่ว่าจะรับความสัมพันธ์แบบไหน เพื่อน คนคุย แฟน ความผูกพันและความรู้สึกรักเป็นตัวหลักที่ทำให้เรารู้สึกผิดถ้าปล่อยอีกคนไว้ต่อให้เขา Toxic ใส่เราก็ตาม นักจิตวิทยาก็อธิบายเรื่องนี้เพิ่ม เราเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ที่ Toxic แต่เรามักจะยังอยู่กับมัน ลองอดทน แล้วปล่อยมันเป็นปัญหาสะสมแบบยาวนาน ไม่ได้ปรับตัว ไม่ได้แก้ไขกัน ยิ่งพอเราตัดสินใจตัดเลยยิ่งทำให้เรารู้สึกผิด แม้เราเองจะพยายามพูดกับตัวเองว่าออกมาดีแล้วเพราะมัน Toxic ก็ตาม อยากให้เชื่อว่าความกล้าที่เราเดินออกมาจากจุดนั้น เราเก่งมากแล้ว เราทำได้ที่ปล่อยวางจากความสัมพันธ์ที่ทำร้ายเราและทำร้ายอีกคน เรากำลังได้กลับมารักตัวเอง มันเป็นอีกก้าวหนึ่งจริง ๆ ที่ทำให้เราโตขึ้น คิดว่าหลายคนที่ออกมาแล้วอาจจะรู้สึกแบบเรา แชร์ได้ หรือถ้าอยากเล่าว่าผ่านมาแล้วได้ยังไงก็ดีมากเลย

ชีวิตในเมือง เป็นพิษกับคนทำงานสร้างสรรค์

ชีวิตในเมือง เป็นพิษกับคนทำงานสร้างสรรค์ 🏙️ ในขณะที่คนรักงานสร้างสรรค์มองหาพื้นที่ที่สภาพแวดล้อมกว้างขวางพอให้ผ่อนคลาย มองธรรมชาติได้บ้าง มีสีเขียว คนรักงานศิลปะเองก็ชอบที่จะอยู่ในที่โล่ง โปร่ง สบายตา แต่สำหรับพวกเราคนทำงานในเมืองใหญ่พื้นที่เหมาะแบบนี้กลับหาได้ยาก และกลายเป็นว่าต้องอดทนอยู่ในตึกจนรู้สึกอึดอัด ตึกและอาคารกลายเป็นสิ่งที่เป็นพิษกระทบกับสุขภาพร่างกายและอารมณ์ก็ก่อให้เกิด Sick Building Syndrome ขึ้นมาได้ อาการของภาวะนี้ทำให้เราอ่อนล้าลง อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ปวดหัว ใจสั่น ไปจนถึงหายใจไม่ออก และมีอาการแพ้รูปแบบต่าง ๆ ซึ่งหลายคนก็กำลังเผชิญกับมันอยู่ในระดับที่ต่างกัน Sick Building Syndrome คือตัวหลักสำคัญที่สะท้อนสภาพแวดล้อมในเมืองที่ไม่เอื้อกับคนทำงานสร้างสรรค์ ซึ่งพอเราเชื่อมโยงกับงานวิจัยที่ศึกษาระหว่างสิ่งแวดล้อม ภูมิทัศน์ที่ส่งผลต่อความสามารถในการคิดสร้างสรรค์มีการยืนยันชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกัน ยิ่งสภาพแวดล้อมมีความเป็นตึกหรือให้ความอึดอัดกับเราเท่าไหร่ ความคิดสร้างสรรค์เรายิ่งลดลง นอกจากนี้มลภาวะทางเสียงและอากาศก็เกี่ยวด้วย เป็นตัวเสริมระดับอาการของ Sick Building Syndrome สำหรับคนที่ใช้เวลาทำงานทั้งวัน โดยที่ไม่ได้เจอแสงแดด อากาศถ่ายเท อันนี้ยิ่งทำให้ส่งผลกระทบกับการประสิทธิภาพในการใช้ความคิด จินตนาการ เหนื่อยไว และหมดไฟได้ ออฟฟิศและสภาพแวดล้อมที่คนทำงานสร้างสรรค์อย่างเราโหยหา คือ พื้นที่ที่กว้างขวางหรือโล่งพอสมควร พอที่จะกระตุ้นจินตนาการ อารมณ์ที่ดี และให้ความรู้สึกว่าสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งตอนนี้ยังคงหายากอยู่ ต่อให้เราตกแต่งเติมธรรมชาติที่อาจจะพอช่วยเสริมได้บ้างในพื้นที่สอยที่มีจำกัด แต่ในพื้นที่สาธารณะที่เราเข้าถึงได้ฟรีและอากาศหายใจก็ยังไม่เอื้อกับเรา (จากภาวะฝุ่นละอองและควัน) ในตอนนี้ รวมถึงสภาพอุณหภูมิที่ร้อนจัดมาก ก็ทำให้เรายังคิดว่าไม่ง่ายเลยที่จะมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อกับการทำงานสร้างสรรค์ในเมืองได้จริง ๆ มีใครรู้สึกว่าตัวเองกำลังเจอภาวะนี้อยู่ อยากชวนแชร์นะ คิดว่าเราจะทำยังไงให้ยังทำงานสร้างสรรค์ดี […]

Clean Beauty มาแรงขึ้นอีกปีนี้! เทรนด์ดูแลตัวเอง เน้นออแกนิค มินิมอล ไม่ง้อเคมี 

Clean Beauty มาแรงขึ้นอีกปีนี้! เทรนด์ดูแลตัวเอง เน้นออแกนิค มินิมอล ไม่ง้อเคมี  ในวันที่ทุกคนรู้สึกว่าการดูแลตัวเอง ความงามไม่จำกัดเพศ หันมาใส่ใจสุขภาพผิวกันมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเราที่อากาศแปรปรวนมากและมลภาวะเยอะ การดูแลตัวเอง จากผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในโซน Clean Beauty เป็นคำตอบที่ถูกต้องสุด Clean Beauty แบบไหนที่กำลังมองหากัน ส่วนหนึ่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเองและผิวที่เห็นชัดเลยว่าเป็น Clean Beauty ก็จากเกาหลีใต้ โปรดักซ์ที่พยายามทำออกมาให้มีส่วนผสมเคมีน้อยที่สุด ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม ไม่มีกลิ่น ไม่มีพาราเบน น้ำใส คลีน เบา เนื้อไม่หนัก กลิ่นออแกนิค ฯลฯ โดยรับรองว่าปลอดภัยต่อผิว ไม่แพ้ คนแพ้ง่ายใช้ได้ให้ตอบโจทย์สายคลีนมากที่สุด นอกจากส่วนผสมในเครื่องสำอาง สกินแคร์พวกนี้จะต้องคลีนแล้ว แพคเกจก็เป็นอีกส่วนสำคัญของกลุ่ม Clean Beauty ด้วยเหมือนกัน เราจะเห็นหน้าตาโปรดักซ์ที่ออกมาเรียบที่สุด สีพื้นหรือขาว มินิมอล ดูคลีน สะอาด หรู ดีไซน์มีเทสที่ตรงกลุ่มเป้าหมายให้ดูน่าใช้หรือน่าเก็บกล่องและขวดต่อได้ ตัวอย่าง Huxley, Laneige, Klairs, Banila […]

Quilted bag เทรนด์กระเป๋านุ่มนิ่ม ห้างแตก เแฟชั่นสะท้อนอิทธิพลจากอินฟลูฯ

Quilted bag เทรนด์กระเป๋านุ่มนิ่ม ห้างแตก เแฟชั่นสะท้อนอิทธิพลจากอินฟลูฯ ตอนนี้นอกจากกระเป๋า Gentlewomen ที่เราเห็นคนถือกันเยอะมากทั้งสยาม อีกกระแสหนึ่งที่ทำให้พารากอนแทบแตกก็คือกระเป๋า Quilted bag ที่ทุกคนมาต่อแถวแบบยังไงก็ต้องเป็นเจ้าของให้ได้ อะไรทำให้กระเป๋ารุ่นนี้ทุกคนอยากมี เจาะดูจุดเด่นของกระเป๋าใบนี้ ด้วยดีไซน์ที่มันเรียบ สีเดียว ดู Casual มีลูกเล่นเป็นพื้นผมกระเป๋าจากการเย็บเป็นรอยเย็บเหมือนลายตาข่ายเหมือนผ้านวม ทำให้มันดูเหมาะมากกับการแต่งตัวสไตล์เมืองหนาว แต่ก็ยังใช้กับสภาพอากาศอื่นได้ นอกจากนี้ขนาดก็ใหญ่มากเหมาะกับเดอะแบกสุด ๆ ด้วยการบุของกระเป๋าที่กันกระแทกได้ระดับหนึ่งด้วยหลายคนก็มองว่ามันเหมาะกับไปทำงานดี ใบเดียว จบ เอาเรื่อง ซึ่งหลายคนก็อาจจะมีซื้อไปก่อนกระแสนี้ด้วยซ้ำ แต่อีกหลายคนก็ตามมาจากโซเชียล เรามองการใช้กระเป๋ารุ่นนี้ของเจนนี่ Blackpink ในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ที่มีพื้นที่สื่อใหญ่ระดับโลกกับสินค้า ทำให้กระเป๋ารุ่น Quilted oversized shoulder bag เป็นกระแสแบบห้างแตกและ COS กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะแบรนด์เสื้อผ้าอังกฤษที่มีสโตร์ในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้คนเกาหลีใต้ก็มีกระแสกับแบรนดืนี้มาก ๆ ความน่าสนใจที่กระเป๋าใบนี้มีอิทธิพลกับอินฟลูฯ ทำให้จากกระเป๋าแบรนด์ที่ซื้อใช้งานธรรมดา แมทช์ลุคง่ายกลายเป็นของที่ทุกคนอยากมีจนราคาขายต่อ (Resale) สูงขึ้นจากหลักพันพุ่งไปเป็นหลักหมื่น ไม่ว่าเจนนี่จะถูกจ้างหรือเป็น Brand Loyalty หรือแค่วันนั้นใช้กระเป๋ารุ่นนี้แล้วถ่ายลงโซเชียลตัวเอง นี่ก็ยังเป็นอีกช่องทางของเทรนด์สินค้าที่เกิดขึ้นจากคนที่มีพื้นที่สื่อใหญ่ที่แบรนด์ใช้งานอยู่ ที่ผ่านมาเราก็ยังเห็นว่าหลายธุรกิจ แบรนด์มากมายก็ยังฟีดสินค้าตัวเองมาถึงพวกเราผ่านอินฟลูฯ เพื่อช่วยเปิดการมองเห็น […]

ไม่ใช่แค่ไอเทมในเกม เมื่อวงการแฟชั่นบุกเกมออนไลน์ วงการนี้น่าจับตามอง

ไม่ใช่แค่ไอเทมในเกม เมื่อวงการแฟชั่นบุกเกมออนไลน์ วงการนี้น่าจับตามอง จะเป็นยังไงถ้าแฟชั่นมันไปอยู่ในเกม คงสนุกน่าดูถ้าเราได้แต่งตัวยังไงก็ได้ในโลกเสมือนจริงที่ไม่มีไรมากั้น ฟังดูเหมือนเรื่องในโลกอนาคตเลยใช่ไหม แต่จริง ๆ สิ่งนี้มีมานานแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของเหล่าเกมเมอร์ ถ้าพูดว่าแฟชั่นในเกมอาจจะไม่เก็ท แต่ถ้าเราพูดว่า “สกิน” เพื่อนน่าจะเข้าใจทันที ที่เราไว้ใช้ตกแต่งตัวละคร ชุด และอาวุธตามที่เราชอบ สร้างความโดดเด่น รวมถึงตัวตนของเราด้วย ถึงแม้สกินตัวละครในเกมจะไม่ได้มีผลต่อความสามารถพี่เพิ่มขึ้น แต่เราก็ยังเสียเงินซื้อมันอยู่ดี ยิ่งอันไหนที่แรร์ไอเทม ยิ่งมีคุณค่าทางจิตใจ บางสกินมีมูลค่าสูงมาก แถมยังหายากอีก ที่เราเจอส่วนใหญ่มันก็ต้องสุ่มจนกว่าจะได้สกินที่ชอบ เติมเงินกันเป็นว่าเล่น แล้วพอธุรกิจอื่น ๆ เห็นช่องทางนี้ โดยเฉพาะแบรนด์แฟชั่นทั้งหลาย เขาก็เลยโยกย้ายกันมาทำการตลาดในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ Louis Vitton เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เห็นช่องทางนี้ ปี 2019 มาร่วมมือกับเกม League of Legends เพื่อสร้างสกินเกมดิจิทัลสำหรับอวตาร นอกจากนี้ปี 2020 แบรนด์ Valentino, Marc Jacobs และ Anna Sui ก็มาร่วมออกแบบสกินด้วยใน เกม Animal Crossing และ Christian Louboutin […]

มูฟออนกับเองยังไง ถ้าเพื่อนทิ้งเราไปมีแฟนหมด

ใครเฟล โดนเทจากเพื่อนเพราะหนีไปมีผู้ มากองรวมกันตรงนี้  เชื่อว่าเกือบทุกคนเคยเป็น เวลาเพื่อนทยอยหายไปติดแฟน ติดผู้ แล้วเราจะรู้สึกเหมือนเป็นหมาทุกครั้ง เหงาขึ้น รับบทเป็นที่ปรึกษา เวลามีปัญหา แต่พอถึงเวลามันกลับไปหากันอีกแล้ว! รักเพื่อนไม่คิดว่ามันไม่ดีด้วย แต่ก็รู้สึกเหงา เฟลคนเดียวอธิบายไม่ได้ เราจะจัดการฟีลแบบนี้ยังไงดี รู้ก่อนว่าถ้ารู้สึกแบบนี้ จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย Ness Cooper นักเพศวิทยาก็บอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ อธิบายได้ว่าเวลาที่รู้สึกผูกพันกับเพื่อน เรามักจะสนับสนุนกัน แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อย่างการที่เพื่อนหายไปมีใครก็อาจทำให้เรารู้สึกไม่ดีได้ ยิ่งช่วงแรกที่เพื่อนเพิ่งมีแล้วตัวติดกันมาก เหงาไม่ไหว จากที่เคยไปไหนมาด้วยกันตลอด ตอนเย็นก็ตี้กัน วันหยุดก็จอยคาเฟ่ต่าง ๆ อีเวนต์ใด ๆ พอกลายเป็นทั้งหมดเราต้องไปคนเดียว ไม่ก็หาเพื่อนคนอื่นไปด้วยแทน เราไม่เคยชินกับการไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ข้างตัวเลยจ๋องลงไม่มีคนออกไปไหนด้วยก็ตี๋ตั๋วกลับห้อง เหงากว่าเดิมอีก ถ้าเรายังโสดคนเดียวอยู่แบบนี้ เราจะมูฟออนจากความเหงายังไงดี วิธีมันไม่ไม่ตายตัวนะขึ้นอยู่กับคอมฟอร์ทโซนของเราเลย จะลองชวนเพื่อนคนอื่นแทนก็ได้ ถ้ายังไม่ได้เพื่อนหรือยังเหงาก็ลองหากิจกรรมทำได้เหมือนกันที่เราไม่เหนื่อย หลายคนก็แชร์ว่าจากปกติที่ติดเพื่อนไปไหนกันเป็นแก๊งพอเจอความเหงาก็ดีอีกแบบตรงที่ได้กลับมาโฟกัสตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ ไปไหนก็ตัดสินใจได้เลย ได้ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น และพักผ่อน หรือถ้ามันไม่หายหรือรู้สึกว่าใครก็แทนเพื่อนคนนี้ไม่ได้ก็สามารถทำให้มันดีขึ้นได้ด้วยการคุยกับเพื่อนตรง ๆ ได้เหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าเรามีชีวิตเป็นของตัวเองนะ ในวงจรมันจะมีช่วงที่แต่ละคนเข้ามาและอยู่ด้วยน้ำหนักที่ต่างกัน ใครที่กำลังปรับตัวกับการที่เป็นคนเดียวของกลุ่มที่ยังไม่มีใคร อยู่กับตัวเองยังไงหรือใช้วิธีไหนเล่าได้ […]

MERE EXPOSURE EFFECT ไม่อินเพลงไวรัล

ทรงอย่างแบด เลือดกรุ๊ปบี เด็กคนนั้นโตมากลายเป็นเธอ ถึงไม่อินเพลงไวรัล แต่ดันร้องได้ทุกเพลง วิจัยบอกเป็นอาการ Mere Exposure Effect ทำไมบางเพลงที่เราได้ยินซ้ำ ๆ ต่อให้ไม่เคยเปิดฟังเองแต่ดันร้องตามได้ บางเพลงนี่หนัก ร้องได้ทุกคำยิ่งกว่าเพลงที่เราชอบฟังเอง นี่เป็นกลไกทางจิตที่เรามีแนวโน้มจะติดบางสิ่งจากได้ยิน ได้เห็นซ้ำ ๆ จากความคุ้นชินซึ่งมันอาจผ่านหูเข้ามาในสมองของเราตลอดโดยที่บางทีก็ไม่รู้ตัวด้วย ยิ่งช่วงไหนเพลงเป็นไวรัล เปิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้เราฟังบ่อยมากแบบไม่ได้ตั้งใจ เรายิ่งมีแนวโน้มที่จะชอบไม่ก็เอียนเพลงนั้นไปเลย (ชนิดที่ว่าชีวิตนี้ขอไม่ได้ฟังอีก) บอกเลยว่า Mere Exposure Effect มันเป็นกระบวนการที่ส่งผลกับเราแบบน่าตกใจสุด ตรงที่มันเป็นการป้อนชุดข้อมูลใส่เราจากภายนอกแบบที่เอาชนะการหาทำ หาดู หาฟังของเราเองได้ ตกใจต่อ ตรงหลักการทำงานของมัน เวลาที่เรารับข้อมูลไม่ว่าจะได้ยินหรือได้เห็น แบบพัก ๆ จะโผล่ขึ้นมาเองบ้างในโซเชียล ถูกเปิดตามห้าง ร้านใด ๆ ถึงเราจะไม่รู้ตัว ผลลัพธ์ก็คือสมองเราจะฝังความทรงจำได้ดีกว่าแบบที่เราเปิดวนไป ฟังเอง นี่เป็นหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลายแบรนด์สินค้าเลือกใช้ด้วย การเลือกวิธีการป้อนข้อมูลลักษณะนี้ เลือกกำหนดเวลาเป็นช่วงในการส่งโฆษณามาถึงพวกเรา ถือว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจ ไม่แน่เบื้องหลังของเพลงที่ติดอันดับโลกหลาย ๆ เพลงก็อาจจะเกี่ยวกับ Mere Exposure Effect ด้วยเหมือนทั้งแบบที่ตั้งใจเลยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ตอนนี้มีใครรู้สึกว่าเจอ […]

 อยากคุยด้วย ไม่ได้อยากคบ FODA ภาวะกลัวเดท ไม่ยอมคบใครจริงจัง 

FODA อยากคุยด้วย ไม่ได้อยากคบ ภาวะกลัวเดท ไม่ยอมคบใครจริงจัง มากสุดแค่มี FWB ก็พอ ใครกำลังอยู่ในลูปนี้บ้าง กำลังคุยกันดีเลยดีเลย พอจะเจอจริง ๆ ก็กลัว ยิ่งคุยจริงจัง ยิ่งกังวล จนสุดท้ายได้เข้าไปอยู่ความสัมพันธ์ที่เป็นแค่คนคุยไม่ก็ Friend with benefits แล้วคิดว่าอาจจะดีกว่า สำหรับ FODA ก็เป็นหนึ่งในนี้ที่กลัวการเริ่มต้นและจริงจังกับความสัมพันธ์ ระดับความรุนแรงก็ต่างกันไปด้วย มีตั้งแต่คุยได้ เจอได้ แต่ถ้าจริงจังก็ไม่เอา ยันแค่จะเริ่มคุยยังยากมากเพราะกังวลก็มี ภาวะนี้เราบอกได้ว่ามันเป็นกลไกการป้องกันตัวเอง ซึ่งความเครียดมีผลโดยมาก รวมถึงประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีที่คนเป็น FODA เจอมาด้วย ทำให้เกิดกำแพงที่จะกล้าไว้วางใจใครสักคนที่จะเริ่มมีความสัมพันธ์ ตกลงคบกันอย่างชัดเจน และเปิดเผยต่อสังคม แนวโน้มของ FODA ที่บางคนในเมื่อไม่มีความต้องการหรือกังวลที่จะมีความสัมพันธ์แบบจริงจัง ก็สนใจที่จะผันตัวเป็นความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์มากกว่าด้วย FWB เพื่อเซ็กส์ คุยเล่นแก้เหงาเท่านั้น ถ้าจะออกจากการเป็น FODA จะทำยังไง เราดูแล้วว่าไม่เจอวิธีที่ตายตัวนะ แต่หัวใจหลักมันคือเรื่องการไว้วางใจและเปิดใจกับความสัมพันธ์เท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้าเราเป็นคนที่จะเขาหา FODA ก็ต้องให้เวลาและทำให้รู้สึกคอมฟอร์ต ซึ่งเอาจริงมันก็พื้นฐานของการมีความสัมพันธ์ที่เฮลท์ตี้อยู่แล้ว ที่เราให้เห็นไม่ได้ต้องการชี้ว่า FODA […]

ในยุคที่อินฟลูหันมาทำเพลง

เรากำลังอยู่ในยุคที่ใคร ๆ ก็เป็นอินฟลูฯ และทำเพลงได้ เพียงแค่มีคอนเทนต์ ตอนนี้ที่เลือดกรุ๊ปบีกำลังปังมาก แซงทุกวงการในไทยจนทำให้ EAT อีส มารูอ้วย ได้เดบิวต์ ไม่ใช่แค่ชาวจ๊อกหรือคนดูช่องกินอีกต่อไปแล้ว แต่ทุกคนรู้จักในฐานะหนิงหนิงเมืองไทย จากอินฟลูฯ สู่การทำเพลงที่ทำหน้าที่ขยายการรู้จักและการเข้าถึงมากขึ้น การทำเพลงให้ติดติ๊กต็อก (Tiktok) กลายเป็นช่องทางที่ตอบโจทย์ในการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แค่หาตัวตน เอกลักษณ์ของคอนเทนต์ตัวเองให้เจอแล้วโพสต์ลงไปให้ปังแบบที่ทุกคนติดหูก็สามารถเอาไว้ต่อยอดในอนาคตที่ในการขายสินค้า และเป็นวิธีผันตัวเองเปิดช่องทางในการเป็นศิลปิน ปรากฎการณ์ที่อินฟลูฯ เริ่มหันมาทำเพลงมากขึ้น โดยเลือกใช้ Tiktok เป็นเหมือนเครื่องมือแรกที่ทำคอนเทนต์ให้เพลงตัวเองเป็นที่รู้จัก ทำให้เราเห็นเหมือนกันมันเป็นลู่ทางใหม่ของตลาดดนตรี เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าแบบไหนที่เรียกว่า เพลงที่มีคุณค่า แต่เราเห็นเหมือนกันว่าในพื้นที่นี้ก็มีการแข่งขันสูงสำหรับสายผลิต และต้องวางกลยุทธ์ด้วยที่จะให้ผลงานตัวเองอยู่ในเทรนด์ให้ได้นานที่สุด ไม่ว่าจะเฮอร์ไมโอน้อง, Play with me (เล่นกันไหม), เลือดกรุ๊ปบี, เต็มคาราเบล และอื่น ๆ เราจะเห็นว่าอินฟลูฯ เหล่านี้ก็ทำเพลงของตัวเองให้ออกมาตอบโจทย์กลุ่มคนฟังเพลงได้หลากหลายเลย จากกระบวนการทำเพลงที่มีหลายขั้นตอน แค่มีอินเตอร์เน็ตกับสมาร์ทโฟนใคร ๆ ก็มีเพลงของตัวเองได้โดยไม่ต้องฝึกฝนการเป็นศิลปินอีกแล้ว แล้วในมุมมองศิลปิน การทำงานเพื่อโปรโมตเพลงของตัวเอง จากที่เน้นโปรโมทตามสื่อต่าง ๆ และเน้นทำโชว์ให้มีคุณภาพ แต่พอพฤติกรรมคนฟังเพลงเปลี่ยน ก็เลยกลายเป็นว่าศิลปินก็เริ่มมองเหมือนกันว่าช่องทางนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี ที่จะให้เพลงของตัวเองเป็นที่รู้จักกว้างขึ้น ด้วยการใช้เพลงสร้าง […]